อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 14:22-33
(22)ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไป ในขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ (23)เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนาตามลำพัง ครั้นเวลาค่ำ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว (24)ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม (25)เมื่อถึงยามที่สี่พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ (26)เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว (27) ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” (28)เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด” (29) พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า (30)แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” (31)ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า” (32)เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ (33)คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
1. เราเอง อย่ากลัวเลย
หลังจากทรงเลี้ยงอาหารประชาชนจำนวนมากจนอิ่มหนำและเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง (มธ 14:13-21) “พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไป ในขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ” (มธ 14:22)
เราอาจสงสัยว่าทำไมพระองค์จึงต้อง “สั่ง” หรือถึงขั้น “บังคับ” (anagkazo – อานักคาโซ ในภาษากรีกหมายถึง “บังคับ”) บรรดาศิษย์ให้ลงเรือข้ามทะเลสาบกลับไปก่อน ส่วนพระองค์อยู่ส่งประชาชนกลับตามลำพัง ?
เหตุผลปรากฏในพระวรสารของยอห์นซึ่งระบุว่า หลังจากอิ่มหนำแล้วประชาชน “จะใช้กำลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์” (ยน 6:15) ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นชนวนให้ชาวยิวลุกฮือก่อจลาจลเพื่อปลดแอกตนเองจากโรม
นี่ย่อมเข้าทางของบรรดาศิษย์ซึ่งคิดเหมือนประชาชนว่าพระเมสสิยาห์ต้องเป็นกษัตริย์ผู้มากด้วยอำนาจทางโลก !
เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลาย พระองค์จึงทรงบังคับบรรดาศิษย์ให้ลงเรือข้ามทะเลสาบกลับไปก่อน เพื่อพระองค์จะสามารถควบคุมฝูงชนตามลำพังโดยไม่มีพวกเขาคอยยั่วยุ
นี่คือ “ความละเอียดอ่อน และรอบคอบ” อย่างยิ่งของพระเยซูเจ้า !!
เมื่อส่งประชาชนกลับไปแล้ว “พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนาตามลำพัง” จนถึงเวลาค่ำ (มธ 14:23)
แม้เป็นเวลาค่ำแต่ก็ไม่มืด เพราะมัทธิวเล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงสั่งให้ประชาชนนั่งบนพื้นหญ้าก่อนทวีขนมปังเลี้ยงพวกเขา (มธ 14:19) หากพื้นหญ้ามีขนาดกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับคนมากมายขนาดนี้ก็น่าจะอยู่ในช่วงของฤดูใบไม้ผลิ และเป็นไปได้ว่าใกล้เทศกาลปัสกาซึ่งตกกลางเดือนเมษายน อันเป็นเดือนที่พระจันทร์เต็มดวงและส่องสว่างจนมองเห็นถนนหนทางและท้องทะเลได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น หลังจากทรงอธิษฐานภาวนาเสร็จแล้ว พระองค์จึงทรงดำเนินเลียบชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบเพื่อกลับไปอีกฟากหนึ่ง
ส่วนบรรดาศิษย์ซึ่งลงเรือล่วงหน้าไปก่อนพระองค์ กลับไปไม่ถึงไหนเพราะทะเลสาบกาลิลีขึ้นชื่อลือชาเรื่องพายุฉับพลัน เรือของพวกเขาต้อง “แล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม” (มธ 14:24)
เมื่อถึงยามที่สี่ซึ่งตกประมาณตีสาม (ชาวยิวแบ่งกลางคืนออกเป็นสี่ยามเริ่มจาก หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม สามทุ่มถึงเที่ยงคืน เที่ยงคืนถึงตีสาม และตีสามถึงหกโมงเช้า) พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาศิษย์กำลังต่อสู้กับพายุและคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่เรือจึง “ทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์” (มธ 14:25)
ในยามที่บรรดาศิษย์ตกอยู่ในความยากลำบาก พระองค์เสด็จไปหาพวกเขา...
นี่คือสุดยอด “ความเอาใจใส่” ของพระเยซูเจ้า !
เช่นเดียวกับบรรดาศิษย์ เราแต่ละคนย่อมมีพายุพัดทวนเข้ามาในชีวิตบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับคนรอบข้างที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเราเอาเสียเลย หรือการต่อสู้กับตัวเอง กับการประจญ กับการตัดสินใจที่ยากสุดหิน หรือกับมรสุมชีวิตอื่นๆ อีกมากมาย แต่ขอให้จดจำไว้ว่าไม่มีใครถูกทอดทิ้งให้ต่อสู้ดิ้นรน “ตามลำพัง” เพราะพระเยซูเจ้าทรงพร้อมเสด็จมาพร้อมกับพระหัตถ์ที่ยื่นออกเพื่อช่วยเหลือ และพระสุรเสียงที่กระตุ้นหัวใจให้เราลุกขึ้นต่อสู้ “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” (มธ 14:27)
ขอเพียงเราร้องทูลพระองค์แบบเปโตรว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” (มธ 14:30)
2. สงสัยทำไมเล่า
นอกจากความละเอียดอ่อนและความเอาใจใส่ขั้นสูงสุดของพระเยซูเจ้าแล้ว บุคลิกภาพของเปโตรก็ให้บทสอนใจแก่เราเช่นกัน
1. เปโตรเป็นคนหุนหัน ท่านชอบทำตามสัญชาติญาณโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนจนนำไปสู่ความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างเช่นครั้งนี้ก็เกือบทำให้ท่านต้องจมลงไปในทะเล
ความผิดของท่านคือท่านใช้ “หัวใจ” มากกว่า “หัวคิด”
แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้คิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม พระองค์ตรัสว่า “ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่” (ลก 14:28) “หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่” (ลก 14:31)
แม้แต่เมื่อชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ” พระองค์ยังตรัสสั่งเขาให้คิดให้ดีเสียก่อน เหตุว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” (ลก 9:57-58)
เราจึงต้องระมัดระวังอย่าให้ชีวิตต้องล้มเหลวหรือผิดพลาดไปเพียงเพราะเรา “อิงกับอารมณ์มากกว่าเหตุผล”
2. เปโตรรักพระเยซูเจ้า แม้ท่านจะชอบทำตามสัญชาติญาณ แต่โชคดีที่สัญชาติญาณของท่านคือ “รักพระเยซูเจ้า”
เมื่อพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ทุกท่านจะทอดทิ้งเราในคืนนี้” เปโตรลุกขึ้นตอบทันทีว่า “แม้ทุกคนจะทอดทิ้งพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ทอดทิ้งพระองค์เลย” (มธ 26:31, 33)
นี่เป็นสัญชาติญาณรักของผู้นำที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ !
3. เปโตรยึดพระเยซูเจ้าเป็นสรณะ เมื่อเห็นว่าลมแรง ท่านก็กลัวและเริ่มจมลง แต่ “หัวใจรัก” ทำให้ท่านร้องออกมาว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” (มธ 14:30)
ทันทีพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์จับท่านไว้ !
และเป็นท่านแต่เพียงผู้เดียวที่ได้สัมผัสพระหัตถ์ของพระองค์ จนกล่าวได้ว่า “ยิ่งพลาด ท่านยิ่งใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า”
และเพราะใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า ท่านจึง “ลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง” ซึ่งส่งผลให้ท่านเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ เพราะนักบุญไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้ม แต่เป็นคนที่ล้มลงแล้วลุกขึ้นทุกครั้ง
หากเรายึดพระเยซูเจ้าเป็นสรณะดุจเดียวกับเปโตร ความผิดพลาดของเราจะทำให้เรา “รักและใกล้ชิด” พระองค์มากขึ้น
3. ลมสงบ
ที่สุด “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ” (มธ 14:32)
นักบุญฟรังซิสเดอซาลส์สังเกตเห็นชาวบ้านใส่เศษไม้ชิ้นหนึ่งลงในถังน้ำที่ล้นเปี่ยมก่อนหิ้วกลับบ้าน ท่านจึงถามเด็กหญิงคนหนึ่งว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น เธอตอบด้วยท่าทางแปลกใจว่า “ทำไม ? ก็เพื่อให้น้ำนิ่ง ไม่กระเพื่อมหกน่ะสิ..” ภายหลังท่านเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟังพร้อมกับเสริมว่า “เพราะฉะนั้น เมื่อหัวใจของท่านเศร้าหมองและปั่นป่วน จงใส่กางเขนลงไปเพื่อทำให้มันมั่นคง !”
ไม่ว่ามรสุมชีวิตของเราจะใหญ่หลวงเพียงใด ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า
“ที่ใดมีพระเยซูเจ้า ที่นั่นมีความสุขสงบและความชื่นชมยินดี” !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น