วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2011

อาทิตย์ที่ 17  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 13:44-52 หรือ 44-46
(44)อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น (45) อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม (46) เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น
(47) อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด (48) เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป (49) เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม (50) ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง
(51)ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่ บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า เข้าใจแล้ว (52) พระองค์จึงตรัสว่า ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน

1. ขุมทรัพย์
       ในสมัยโบราณแม้จะมีระบบธนาคารแล้วแต่ประชาชนยังนิยมซ่อนสมบัติมีค่าไว้ใต้ดิน  พวกรับบีสอนว่าสถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเงินคือ ดิน  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนใช้ผู้เกียจคร้านในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ตอบนายของตนว่า ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน (มธ 25:25)
       ปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่ร้อนระอุด้วยไฟสงคราม  การฝังสมบัติมีค่าไว้ใต้ดินก่อนหนีภัยสงครามโดยหวังว่าจะรอดชีวิตกลับมาค้นหาในภายหลัง จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากกว่าที่อื่นใด
       บางคนอาจสงสัยว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงชื่นชมคนที่พบสมบัติแต่กลับซ่อนไว้ แทนที่จะส่งมอบให้รัฐตามกฎหมาย ?
       เหตุผลประการแรกคือ ชาวยิวอยู่ใต้การปกครองของโรมและกฎหมายโรมันก็จริงอยู่  แต่หากเป็นกรณีเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน พวกเขายังนำกฎหมายยิวมาบังคับใช้และหนึ่งในข้อกฎหมายนั้นกำหนดว่า ผู้ใดพบเงินที่นาน ๆ จะพบได้สักที ให้เงินนั้นตกเป็นของผู้พบ
       เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ  อุปมาแต่ละเรื่องจะมีประเด็นหลักเพียงประเด็นเดียว ที่เหลือเป็นเพียงส่วนประกอบซึ่งไม่จำเป็นต้องลงในรายละเอียด อย่างเรื่อง ขุมทรัพย์ ประเด็นหลักคือ ความยินดีที่ค้นพบขุมทรัพย์และความเต็มใจสละทุกสิ่งเพื่อจะได้ขุมทรัพย์นั้นมา
       บทเรียนที่ได้จากอุปมาเรื่องนี้คือ
       1.    เราสามารถพบอาณาจักรสวรรค์ได้ระหว่างทำงานประจำวัน เหมือนชายโชคดีผู้นั้นที่ค้นพบขุมทรัพย์ระหว่างทำงานหนักในทุ่งนา  เขาไม่ได้ขุดดินเพียงผิวเผิน แต่ต้องขุดลึกมากจึงจะพบขุมทรัพย์เช่นนั้นได้
              ความคิดที่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในวัด ในศีลมหาสนิท หรือระหว่างพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีอย่างยิ่ง
              นักบุญลอเรนซ์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในครัวอารามฤาษีท่ามกลามจานชามสกปรกมากมาย ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดกับพระเยซูคริสตเจ้าเวลาอยู่ในครัวเท่าๆ กับเวลาอยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิท
              หากเราทำงานด้วยความอุตสาหะ ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ และอย่างมีสำนึกถึงพระเจ้า เราย่อมพบอาณาจักรสวรรค์ได้เช่นเดียวกัน
       2.    เป็นการคุ้มค่าที่จะเสียสละทุกสิ่งเพื่อเข้าอาณาจักรสวรรค์  บทข้าแต่พระบิดาฯ สอนเราว่าอาณาจักรสวรรค์คือ สังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์ (มธ 6:10)  เพราะฉะนั้น การเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ก็คือ การน้อมรับและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า นั่นเอง
              บ่อยครั้ง เราพบแสงสว่างส่องแวบเข้ามาในจิตใจทำให้เราทราบพระประสงค์ของพระเจ้า  นี่คือ ขุมทรัพย์ 
              การน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์อาจทำให้เราต้องเสียสละเป้าหมายและความทะเยอทะยานบางอย่าง  ต้องละทิ้งนิสัยหรือวิถีชีวิตบางประการ  ต้องมีวินัยกับตัวเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย
              กระนั้นก็ตาม การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การยอมเสียสละทุกสิ่ง เพราะเมื่อเราปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าก็เท่ากับเรากำลังคิดเหมือนพระองค์และกำลังปรารถนาเหมือนพระองค์ ซึ่งจะนำเราไปสู่การดำเนิน ชีวิตเหมือนพระเจ้า
       การมีชีวิตเหมือนพระเจ้าคือ สุดยอดปรารถนา ของทุกคนเพราะไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ เที่ยงแท้ และสมบูรณ์ดีงามไปกว่าพระองค์อีกแล้ว
       การได้สิ่งอันเป็นสุดยอดปรารถนาคือ ความสุขสูงสุด ที่ทำให้จิตใจของเรา อิ่ม, พอ และ ได้พักผ่อนในพระเจ้า
       การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าจึงเป็นหนทางเดียวที่นำความสุขมาสู่จิตใจของเราในชีวิตนี้ และความรุ่งโรจน์นิรันดรในชีวิตหน้า !!
2. ไข่มุก
       ทุกวันนี้เรายอมรับว่าเพชรเป็นเครื่องประดับล้ำค่าและราคาแพง แต่คนสมัยโบราณถือว่าไข่มุกมีความงดงามและราคาแพงที่สุด ขอเพียงได้ลูบคลำและเพ่งพิศก็มีความสุขอย่างล้นเหลือแล้ว  แหล่งไข่มุกสำคัญในยุคนั้นคือทะเลแดงและเกาะอังกฤษ  ส่วนการค้าขายกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง พ่อค้าทุกคนจึงพร้อมพลิกแผ่นดินเพื่อหาซื้อไข่มุกล้ำค่ามาไว้ในครอบครอง
       บทเรียนที่พระองค์ประทานแก่เราคือ
       1.    อาณาจักรสวรรค์น่ารักและน่าชื่นชมดุจไข่มุกเม็ดงาม
              เพราะอาณาจักรสวรรค์คือการน้อมรับและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า  การน้อมรับและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์จึงไม่ใช่เรื่องของการทนทุกข์ แต่เป็นเรื่องที่น่ารักและน่าชื่นชม  เพราะเลยจากระเบียบวินัย เลยจากการเสียสละ เลยจากการละทิ้งตนเอง และเลยจากกางเขนออกไป สิ่งที่รอเราอยู่นั้นช่างน่ารักและน่าชื่นชมชนิดจะแสวงหาจากที่อื่นใดในโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว
              ขอย้ำว่า หนทางเดียวที่จะนำสันติสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่จิตใจ และความงดงามมาสู่ชีวิตของเรา คือการมีชีวิตเหมือนพระเจ้าด้วยการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ !
       2.    สิ่งล้ำค่าที่สุดมีเพียงสิ่งเดียว  เช่นเดียวกับไข่มุกซึ่งมีจำนวนมากมายแต่มีเพียงเม็ดเดียวที่ล้ำค่าที่สุด
              ในโลกนี้มีมากมายหลายสิ่งที่นำความสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่จิตใจของเรา  บางคนมีความสุขกับการศึกษาเล่าเรียน  บางคนสุขกับเสียงเพลง  บางคนสุขกับการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก  บางคนสุขกับการเป็นพลมารี
       ใช่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้น่าชื่นชมดุจไข่มุกล้ำค่า แต่เม็ดล้ำค่าที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียวคือ การนอบน้อมเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งทำให้ชีวิตของเราเป็นเหมือนพระองค์
       เช่นเดียวกับขุมทรัพย์ที่เราสามารถพบได้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน  พ่อค้าก็พบไข่มุกล้ำค่าได้ระหว่างประกอบอาชีพค้าขายตามปกติ  ต่างกันเพียงแต่ว่าพ่อค้าตั้งใจแสวงหาไข่มุก ไม่ใช่ค้นพบโดยบังเอิญ
แต่ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญ พระประสงค์ของพระเจ้าคือสิ่งที่มีค่าควรแก่การได้มาเป็นอย่างยิ่ง !
3. อวน
พระเยซูเจ้าทรงนำเรื่อง อวน มาพูดกับชาวประมง ประหนึ่งต้องการจะถามผู้ฟังว่า ไหนดูสิว่างานประจำวันของท่านจะบอกอะไรเกี่ยวกับสวรรค์ได้บ้าง ?
       ในปาเลสไตน์ ชาวประมงนิยมจับปลาด้วยการเหวี่ยงแหและลากอวน  การลากอวนคือสิ่งที่อุปมาเรื่องนี้กล่าวถึง
บทเรียนที่ได้จากอุปมาเรื่องนี้คือ
1.    อาณาจักรสวรรค์ต้อนรับทุกคน เหมือนอวนซึ่งกวาดทุกสิ่งเข้ามาโดยไม่มีการแยกแยะ ทั้งปลาดีมีราคา ปลาไร้ค่า หรือแม้แต่ขยะทะเลก็ไม่วายถูกรวมเข้ามาในอวน
              พระศาสนจักรซึ่งเป็นดั่งอวนจึงต้องเปิดประตูต้อนรับทุกคน ไม่ว่าดีหรือเลว มีคุณค่าหรือไร้ราคาเพียงใดก็ตาม
              เหตุผลอีกประการหนึ่งที่เราต้องต้อนรับทุกคนคือ เราไม่มีหน้าที่แยกแยะว่าใครดี ใครเลว เพราะพระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน (มธ 7:1)
2.    มีการตัดสินแน่ แม้อวนจะกวาดทุกสิ่งโดยไม่เลือก แต่เมื่ออวนเต็มชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป (มธ 13:48)
              แปลว่าการตัดสินแยกแยะคนดีออกจากคนเลวจะเกิดขึ้นแน่นอน โดย ทูตสวรรค์ จะเป็นผู้แยกแยะเมื่อถึงคราวสิ้นโลก (มธ 13:49)
              หน้าที่ของเราจึงได้แก่การรวบรวมทุกคนเข้ามาในพระศาสนจักร  ส่วนการตัดสินเป็นหน้าที่ของพระเจ้า
4. สมบัติใหม่และเก่า
เมื่อบรรดาศิษย์เข้าใจคำสอนเรื่องอาณาจักรสวรรค์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสรุปว่า ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน (มธ 13:52)
       ราวกับพระองค์ทรงประสงค์จะสื่อถึงธรรมาจารย์ที่หันมาเป็นศิษย์ของพระองค์ว่า พวกท่านมีพื้นฐานที่ดีจากการทุ่มเทชีวิตศึกษาธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก  เมื่อได้ฟังคำสอนของเรา ท่านไม่เพียงรู้สิ่งที่เคยรู้เท่านั้น แต่ยังรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ด้วย อีกทั้งสิ่งที่ท่านเคยรู้มาก่อนแล้วก็ยังได้รับการส่องสว่างจากสิ่งที่เราบอกท่านด้วย
       นั่นคือ เมื่อเราหันมาเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เราละทิ้งความรู้ ความสามารถ หรือพรสวรรค์ที่ติดตัวมา  แต่ทรงประสงค์ให้เราใช้สิ่งเหล่านี้ภายใต้จุดหมายใหม่ แรงจูงใจใหม่ และความหมายใหม่ดุจเดียวกับพระองค์
หากเราเป็นนักวิชาการก็ขอให้ใช้ความรู้เพื่อนำผู้อื่นมาสู่ความจริง  หากเป็นนักธุรกิจก็ขอให้ทำธุรกิจเยี่ยงคริสตชนที่ดีพึงกระทำ
เมื่อได้กระทำดังนี้ ของเก่าที่มีอยู่ก็ยังคงเป็นสมบัติที่ทรงคุณค่าควรแก่การนำออกมาจากคลังโดยไม่ต้องอายสมบัติใหม่แต่อย่างใด
อย่าลืมว่า พระเยซูเจ้ามิได้เสด็จมาเพื่อทำให้ชีวิตของเราว่างเปล่า แต่เพื่อทำให้ชีวิตของเราเต็มเปี่ยมและสมบูรณ์ !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น