วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2011

อาทิตย์ที่ 16  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 13:24-43 หรือ 24-30
(24)พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน (25)ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป (26)เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย (27)บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่านายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ (28)นายตอบว่าศัตรูมาหว่านไว้ผู้รับใช้จึงถามว่า นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ (29)นายตอบว่าอย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย (30)จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”
(31)พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา (32)และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้” (33)พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” (34)พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา (35)ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก (36)หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” (37)พระองค์ตรัสว่าผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดี คือบุตรแห่งมนุษย (38)ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย (39)ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ (40)“ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น (41)บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และทุกคนที่ประกอบการอธรรมให้ออกจากพระอาณาจักร (42)แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง (43)ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด

1. ข้าวละมาน
การหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีมิใช่เรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเอง แต่เป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงและมีโทษสถานหนักตามกฎหมายโรมัน แม้ในปัจจุบันยังมีชาวอินเดียบางคนข่มขู่ศัตรูของตนว่า ข้าจะหว่านเมล็ดข้าวเลวในนาของเจ้า ข้าวละมานถือเป็นหนึ่งในคำสาปสำหรับชาวนาทุกคนเพราะเมื่อเริ่มงอกมันจะมีลักษณะเหมือนข้าวสาลีจนแยกไม่ออก ต้องรอจนออกรวงจึงจะสามารถแยกได้ว่าต้นไหนเป็นข้าวสาลีและต้นไหนเป็นข้าวละมาน แต่เมื่อถึงเวลาออกรวง รากของมันก็พันกันนัวเนียจนไม่มีทางถอนข้าวละมานโดยที่ข้าวสาลีไม่หลุดติดมือมาด้วย
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องแยกข้าวละมานออกจากข้าวสาลี เพราะมันมีรสชาติขม ไม่อร่อย อีกทั้งกินแล้วเป็นพิษทำให้มึนเมา เวียนศีรษะ และเจ็บป่วย ทุกวันนี้ ชาวนาแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมานหลังการนวดข้าว โดยเทเมล็ดข้าวทั้งสองลงในถาด แล้วใช้แรงงานสตรีแยกเมล็ดข้าวละมานซึ่งมีลักษณะและขนาดเหมือนเมล็ดข้าวสาลี เพียงแต่มีสีเทาคล้ายกระดานชนวนทิ้งไป อุปมาเรื่องข้าวละมานจึงเป็นสิ่งที่ชาวยิวคุ้นเคยและเข้าใจได้เป็นอย่างดีแม้พึ่งจะได้ฟังเป็นครั้งแรก
1. มีอำนาจของศัตรูอยู่ในโลกนี้ มันคอยจ้องทำลายเมล็ดพันธุ์ดี ประสบการณ์ของเรายืนยันถึงอิทธิพลของอำนาจทั้งสองได้เป็นอย่างดี ขณะที่อิทธิพลของเมล็ดพันธุ์ดีพยายามทำให้พระวาจาของพระเจ้าเจริญงอกงามภายในจิตใจของเรา แต่ในเวลาเดียวกันก็มีอิทธิพลของศัตรูร้ายที่คอยจ้องทำลายเมล็ดพันธุ์ดีก่อนที่มันจะมีโอกาส
เติบโตเสียอีก จึงนำมาสู่บทเรียนแรกคือเราต้อง เฝ้าระวังอยู่เสมอมิให้อำนาจของศัตรูร้ายมีอิทธิพลเหนือตัวเรา
2. ยากที่จะแยกแยะว่าใครอยู่ในพระอาณาจักรของพระเจ้า ข้าวสาลีและข้าวละมานมีลักษณะเหมือนกันจนชาวนาไม่อาจแยกออกจากกันได้ฉันใด คนเราก็มีลักษณะภายนอกเหมือนกันจนไม่อาจแยกคนดีออกจากคนเลวได้ฉันนั้น เราจึงต้องไม่ด่วนแยกแยะว่าใครดีหรือใครเลวจนกว่าจะรู้ข้อเท็จจริงทั้งภายนอกและภายในทุกด้าน
3. อย่าด่วนพิพากษา เพราะแม้แต่ชาวนายังต้องรอจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวจึงสามารถ
แยกข้าวละมานออกจากข้าวสาลีได้ บางคนทำผิดพลาดอย่างมหันต์แต่อาจกลับใจได้อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ในทางกลับกัน บางคนดำเนินชีวิตไม่มีที่ติแต่อาจผิดพลาดและจมอยู่ในบาปจนวาระสุดท้ายก็เป็นไปได้ การพิพากษาจึงต้องกระทำเมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้วเท่านั้น ไม่มีใครที่รู้จักผู้อื่นเพียงส่วนหรือเสี้ยวเดียวของชีวิตแล้วมีสิทธิ์ตัดสินเขาทั้งชีวิตได้
4. มีการพิพากษาแน่ แม้จะช้าหน่อยก็ตาม  เรามักพูดตามประสามนุษย์ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปแต่ขอให้จดจำไว้ว่า คนชั่ว จงอย่ากระหยิ่มใจและคนดี จงอย่าท้อใจเพราะการพิพากษาลงโทษและการให้รางวัลจะเกิดขึ้นแน่ เหมือนข้าวละมานที่แม้จะอยู่รอดปลอดภัยจนนวดข้าวแล้วเสร็จแต่ก็ต้อง
ถูกคัดแยกและทิ้งไปในที่สุด
5. พระเจ้าเท่านั้นทรงมีสิทธิ์ตัดสิน เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทั้งครบทุกด้านและทั้งชีวิต ส่วนเรานั้น อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน(มธ 7:1)
2. เมล็ดมัสตาร์ด
อันที่จริงเมล็ดมัสตาร์ดไม่ใช่เมล็ดพืชที่เล็กที่สุดเพราะเมล็ดของต้นสนบางชนิดยังมีขนาดเล็กกว่าอีก แต่ชาวยิวใช้เมล็ดมัสตาร์ดเป็นคำเปรียบเทียบเพื่อหมายถึงสิ่งที่ เล็กมาก เราจึงได้ยินชาวยิวพูดว่า หยดเลือดเล็กเท่าเมล็ดมัสตาร์ดหรือผู้ที่ละเมิดกฎเล็กๆ น้อยๆ จะ มีมลทินเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเป็นต้น
พระเยซูเจ้าเองก็ทรงเปรียบเทียบความเชื่อเล็กน้อยว่าเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมื่อตรัสว่า เพราะท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อสักเท่าเมล็ดมัสตาร์ด แล้วพูดกับภูเขานี้ว่าจงย้ายจากที่นี่ ไปที่โน่นมันก็จะย้ายไป และไม่มีอะไรที่ท่านจะทำไม่ได้(มธ 17:20)  ทั้งๆ ที่เมล็ดมัสตาร์ดมีขนาดเล็กมาก แต่เมื่อเติบโตมันจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ สูงถึงสามเมตรครึ่ง เมล็ดสีดำของมันเป็นที่ชื่นชอบของนกมาก ฝูงนกน้อยใหญ่จึงพากันมาเกาะตามกิ่งก้านเพื่อจิกกิน
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ด(มธ 13:31) จึงมีความหมายชัดเจนว่า อาณาจักรสวรรค์เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ แต่จะเติบใหญ่จนทุกชาติเข้ามารวมกันในอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นมาจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก่อนทั้งสิ้น ดังตัวอย่างเช่น
1. ความคิดที่เปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษยชาติเริ่มจากคนคนเดียว เช่น ความคิดของโทมัส เอดิสัน ช่วยทำให้โลกสว่างไสวด้วยหลอดไฟ ความคิดของเฮนรี่ ฟอร์ดทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนแปลงจนคนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้ หรือนักศึกษาเดือนตุลา เพียงหยิบมือเดียวสามารถหยุดยั้งการปกครอง แบบผูกขาดและทำให้ประชาธิปไตยของไทยเบ่งบานขึ้นได้ เป็นต้น
2. สักขีพยานถึงพระเยซูคริสตเจ้าเริ่มจากคนคนเดียว ดังเช่นคราวที่มีการประชุมเยาวชนนานาชาติเพื่อร่วมกันแสวงหาหนทางประกาศพระวรสารให้สอดคล้องกับสหัสวรรษใหม่
เด็กหญิงจากอัฟริกาคนหนึ่งเล่าว่า เราไม่มีเงินพิมพ์หนังสือพระคัมภีร์หรือจ้างครูคำสอนเพื่องานประกาศพระวรสาร เมื่อต้องการนำคริสตศาสนาเข้าไปในหมู่บ้านใด เราทำได้เพียงส่งครอบครัวคริสตชนเข้าไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านและทำมาหากินเหมือนพวกเขา เมื่อชาวบ้านเห็นว่าชีวิตคริสตชนดีอย่างไร พวกเขาก็มาสมัครเป็นคริสตชนด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะสอนอยู่ในโรงเรียนใดหรือทำงานอยู่ในบริษัทไหน เราเพียงคนเดียวนี่แหละสามารถเป็นสักขีพยานและนำพระเยซูคริสตเจ้าไปสู่คนรอบข้างได้
3. การฟื้นฟูหรือปฏิรูปใดๆ ล้วนเริ่มจากคนคนเดียว ดังเช่นสมัยที่กีฬาต่อสู้จนตัวตายกันไปข้างหนึ่ง (gladiators) เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรโรมันทั้งๆ ที่หันมานับถือคริสตศาสนาแล้ว ฤาษีจากทะเลทรายนามว่าเทเลมาคุส (Telemachus) เดินทางมากรุงโรมเพื่อชมการแข่งขันร่วมกับฝูงชนอีกแปดหมื่นคน ด้วยความคิดว่านักต่อสู้ทุกคนต่างเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านจึงกระโดดลงไปในสังเวียนแล้วยืนอยู่ระหว่างกลางนักต่อสู้ พวกเขาผลักท่านออกมา ฝูงชนเริ่มโกรธและขว้างก้อนหินใส่ท่าน ท่านพยายามกลับไปยืนระหว่างนักต่อสู้อีกครั้ง แต่คราวนี้มีเสียงสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงตามด้วยเสียงดาบฟันฉับ ร่างของท่านล้มลงตายคาที่ ทันใดนั้นฝูงชนทั้งสนามเงียบกริบ พวกเขาตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ศักดิ์สิทธิ์ นับแต่นั้นมากีฬาชนิดนี้ก็หายไปจากโรมตราบจนทุกวันนี้ แบบอย่างของท่านฤาษีทำให้เราต้องเริ่มต้นฟื้นฟูได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่ใดก็ตาม เพราะผลของการฟื้นฟูนั้นยิ่งใหญ่จริงๆ
อาณาจักรสวรรค์ซึ่งเปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดจึงเป็นกำลังใจสำหรับบรรดาศิษย์ของพระองค์ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้เป็นอย่างดี !!
3. เชื้อแป้ง
พระเยซูเจ้าทรงนำ เชื้อแป้งในครัวเรือนซึ่งอยู่ใกล้ชิดเรามากที่สุดมาใช้เปรียบเทียบให้เข้าใจอาณาจักรสวรรค์  ชาวยิวทำขนมปังกินเองในบ้าน แป้งสาลีสามถังมากพอทำขนมปังให้ครอบครัวขนาดใหญ่กินได้ทั้งวัน เชื้อแป้งเป็นสิ่งจำเป็นเพราะทำให้ขนมปังนุ่ม ฟู โปร่ง และอร่อยชวนกิน ส่วนใหญ่ได้จากการหมักชิ้นขนมปังที่ทำครั้งก่อน แม้จะมีประโยชน์ใหญ่หลวง แต่ชาวยิวมักนำเชื้อแป้งไปผูกติดกับความชั่วร้าย เชื้อแป้งคือสิ่งที่พวกเขาต้องค้นหาและทำลายให้หมดไปจากบ้านของตนในช่วงเตรียมฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเองก็ทรงเตือนให้ ระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี(มธ 16:6 และดู 1 คร 5:6-8; กท 5:9)
จึงนับเป็นความชาญฉลาดยิ่งของพระเยซูเจ้าที่ทรงนำเชื้อแป้งซึ่งมีภาพพจน์เชิงลบมาเปรียบเทียบกับอาณาจักรสวรรค์ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง เจตนาของพระองค์คือสอนว่า อาณาจักรสวรรค์มีพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงดุจเดียวกับเชื้อแป้งที่สามารถเปลี่ยนแป้งสาลีให้เป็นขนมปังที่นุ่มอร่อย
นับจากอดีต พลังของคริสตศาสนาได้เปลี่ยนแปลงสังคมหลายด้านด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
1. เปลี่ยนสถานภาพของสตรี
ก่อนหน้านี้ชายชาวยิวจะสวดขอบคุณพระเจ้าทุกเช้าที่โปรดให้เขาไม่เป็นคน
ต่างศาสนา ไม่เป็นทาส และไม่เป็นผู้หญิงในดินแดนทางตะวันออก เรามักเห็นครอบครัวเดินทางร่วมกันโดยพ่อนั่งบนหลังลา ส่วนแม่เดินจูงลา ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาถือว่าผู้หญิงมีคุณค่าเทียบเท่าสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น  แต่ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าคริสตศาสนาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้หญิงให้เป็น ลูกของพระเจ้าเทียบเท่าชายได้อย่างไร
2. เปลี่ยนสถานภาพของคนอ่อนแอและเจ็บป่วย
คนสมัยก่อนถือว่าคนอ่อนแอหรือเจ็บป่วยนั้นไร้ค่า และเป็นส่วนเกินของสังคม
ที่เมืองสปาร์ตาจึงมีผู้ตรวจสอบเด็กเกิดใหม่ว่าแข็งแรงหรือไม่ ถ้าแข็งแรงก็มีสิทธิ์อยู่รอด แต่ถ้าอ่อนแอหรือผิดปกติก็จะถูกทิ้งให้ตายตามเชิงเขา ทว่าประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าที่เมืองสปาร์ตานี้เอง สถานดูแลคนตาบอดแห่งแรกตั้งโดยธาลาซีอุสซึ่งเป็นพระนับถือคริสต์รูปหนึ่ง สถานที่จ่ายยาฟรีแห่งแรกจัดตั้งโดยอพอลโลนีอุสซึ่งเป็นพ่อค้านับถือคริสต์คนหนึ่ง และโรงพยาบาลแห่งแรกตั้งโดยฟาบีโอลาซึ่งเป็นสุภาพสตรีคริสต์อีกคนหนึ่ง
3.  เปลี่ยนชีวิตของผู้สูงอายุ
ชาวโรมันถือว่าผู้สูงอายุเป็นเหมือนเครื่องมือเก่าซึ่งไม่มีค่าอันใดนอกจากทิ้ง
รวมกับขยะ ส่วนคริสตศาสนาสอนว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องมือแต่เป็นบุคคล และเป็นบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
4.  เปลี่ยนชีวิตของเด็ก
ก่อนหน้าพระเยซูเจ้า การที่หญิงคนหนึ่งจะมีสามีใหม่ทุกปีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะการหย่าร้างเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ สถาบันครอบครัวตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวด เด็กถูกมองเป็น มารหัวขนและถูกทิ้งให้อดตายอยู่เนืองๆ โชคดีที่คริสตศาสนาช่วยเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษย์เสียใหม่ ทุกวันนี้ชีวิตครอบครัวถูกสร้างขึ้นมาโดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง  เด็กกลายเป็น โซ่ทองคล้องใจไม่ใช่ มารหัวขนอีกต่อไป
คริสตศาสนานอกจากมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคมดังได้ยกตัวอย่างมาแล้ว นักบุญเปาโลยังกล่าวย้ำถึงพลังที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราแต่ละคน (Individual) อีกด้วย ท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก บางท่านเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านได้รับการชำระล้างแล้ว ท่านได้รับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านได้รับความชอบธรรมแล้วเดชะพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า และเดชะพระจิตของพระเจ้าของเรา(1 คร 6:9-11)  แล้วเราไม่คิดจะให้พระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราบ้างดอกหรือ ?!
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ประชาสัมพันธ์
1.   ขอความร่วมมือจากพี่น้องทุกท่าน
1) วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน สวดภาวนา, นมัสการพระเจ้า และร่วมพิธีกรรม  ขอให้แต่งกายสุภาพ เหมาะสม (อย่าสั้นเกินไป, ลึกเกินไป, โชว์มากไป ฯลฯ)
2) ทุกครั้งที่รับศีลมหาสนิท ขอให้ทุกคนตอบรับ อาแมน กับพระสงฆ์ทุกครั้ง  (วัดในเขต 2 ตกลงร่วมกันให้ช่วยรณรงค์ตามวัด เนื่องจากหลายวัดมีปัญหา ผู้ที่มารับศีลฯ ไม่ใช่คริสตชน)
2.   เชิญเข้าเงียบ...รับพระพร สร้างแรงบันดาลใจ ค้นหาแนวทางใหม่ ใน วิถีชุมชนวัด เพื่อเตรียมเข้าสู่ กลุ่มชีวิตคริสตชนพื้นฐาน วันเสาร์ที่ 27 ส.ค. 2011 เวลา 9.00-15.00 น. ณ วัดพระมารดานิจจา-            นุเคราะห์ คลองจั่น  มีพิธีโปรดศีลอภัยบาป และบาปสงวน
3.  ประกาศแต่งงาน  
      ฝ่ายชาย       นายพงศ์ศักร บุญปาลิต บุตร นายนักธรรม และนางพิชญาลักษณ์ บุญปาลิต  ฝ่ายหญิง  เทเรซา ณัฐหทัย บุญปาลิต บุตรี นายเสน่ห์  และ  นางอำนวย พวงรัตน์  สมรสวันเสาร์ที่ 30 ก.ค. 2011 เวลา 9.00 น. 
      ถ้าผู้ใดทราบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีข้อขัดขวางมิให้สมรสได้ ต้องแจ้งให้พระสงฆ์    เจ้าอาวาสทราบ

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2011

อาทิตย์ที่ 15  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 13:1-23 หรือ 1-9
(1)วันเดียวกันนั้นพระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ (2) ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง (3)พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา
พระองค์ตรัสว่า จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  (4)ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  (5)บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก  (6)แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  (7)บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป  (8)บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (9)ใครมีหูก็จงฟังเถิด
(10)บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า (11)พระองค์ทรงตอบว่า พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น (12)เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย (13)เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ (14)สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่าแต่จะไม่เห็น (15)เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลมและปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา (16) ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง (17)เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง
(18)เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด  (19)เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง  (20)เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที (21)แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที  (22)เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล  (23)ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง


1. สภาพดิน
ทุ่งนาในปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นริ้วคือแคบแต่ยาว  ระหว่างริ้วนาแต่ละผืน ประชาชนมีสิทธิ์ใช้เป็นทางเดิน ดินจึงถูกผู้สัญจรเหยียบย่ำจนอัดกันแน่นชนิดที่เมล็ดพืชไม่มีทางออกรากไชลงไปได้เลย
พื้นหินที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงมิได้หมายถึงดินปนหิน แต่เป็นดินล้วนที่มีความหนาน้อยมาก บางแห่งหนาเพียง 2-3 นิ้วเหนือชั้นหินปูนซึ่งมองไม่เห็น  เมื่อเมล็ดพืชตกลงบนพื้น มันจะงอกงามรวดเร็วมากเพราะดินบางจึงอบอุ่นเร็วยามต้องแสงอาทิตย์  แต่เมื่อโตขึ้น รากของมันไม่สามารถเจาะไชผ่านหินปูนลงไปในดินลึกได้ จึงขาดน้ำเลี้ยงและเหี่ยวแห้งเฉาตายไปในที่สุด
พื้นดินที่มีพงหนามไม่ได้หมายความว่าชาวนาละเลยการเตรียมดินก่อนหว่านเมล็ดพืช  พวกเขาไถและเตรียมดินอย่างดีแต่ไม่อาจเอาชนะหัววัชพืชที่ซ่อนอยู่ในดินได้  ทั้งเมล็ดพืชและหัววัชพืชจึงเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน เพียงแต่วัชพืชแข็งแรงกว่าจึงแย่งน้ำเลี้ยงไปหมดและปล่อยให้เมล็ดพืชแห้งตายไปในที่สุด
ส่วนดินดีนั้น ลึก นุ่ม และปราศจากวัชพืช เมล็ดพืชสามารถเจริญเติบโตและบังเกิดผลอุดมสมบูรณ์สำหรับการเก็บเกี่ยว
วิธีหว่านเมล็ดพืชที่นิยมใช้กันมี 2 วิธีคือ
1.    ใช้คนเดินหว่านเมล็ดพืช ซึ่งหากมีลมพัด เมล็ดพืชอาจปลิวไปตกที่ไหนก็ได้แม้แต่นอกที่นาของตัวเอง
2.    ใช้กระสอบใส่เมล็ดพืชวางบนหลังลา เจาะรูที่มุมกระสอบ แล้วจูงลาเดินไปตามท้องนา ล้วระสอบใส่หนก็ได้แม้แต่นอกท้อง 2 วิธีคือ เมล็ดพืชบางส่วนอาจตกเรี่ยราดขณะลาข้ามทางเดิน

ขณะประทับอยู่ในเรือเพื่อประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งกำลังหว่านเมล็ดพืชอยู่บนฝั่ง พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน เพื่อสอนประชาชนซึ่งเป็น ผู้รับฟัง และในเวลาเดียวกันก็เพื่อให้กำลังใจบรรดาอัครสาวกซึ่งเป็น ผู้ประกาศ พระวาจาของพระองค์
นี่คืออัจฉริยภาพของพระองค์ที่ทรงสามารถใช้สิ่งที่ทุกคนเห็นและเข้าใจได้ เพื่ออธิบายสิ่งที่ยังมองไม่เห็นและยังไม่เข้าใจ
2. ผู้รับฟังพระวาจา
       เรื่องขำขันจะขำหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้รับฟังฉันใด
พระวาจาจะบังเกิดผลหรือไม่ก็ย่อมขึ้นอยู่กับผู้รับฟังฉันนั้น
       จากอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน  พระเยซูเจ้าทรงแบ่งผู้รับฟังพระวาจาออกเป็น 4 ประเภทคือ
       1.    ปิดใจ  ผู้ฟังกลุ่มนี้ไม่ยอมเปิดใจรับฟังข่าวดีใดๆ ทั้งสิ้น  พระวาจาไม่มีทางซึมซาบเข้าไปในจิตใจของเขา ดุจเดียวกับเมล็ดพืชที่ไม่สามารถเจาะไชรากเข้าไปในดินที่ถูกเหยียบย่ำจนอัดแน่นเป็นทางเดินได้
              สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรา ปิดใจ ไม่ยอมรับฟังพระวาจาได้แก่
              1.1   อคติ  ซึ่งทำให้จิตใจของเราบอดมืดต่อทุกสิ่งที่ไม่อยากเห็น
              1.2   หยิ่ง  คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว เลยพลาดโอกาสรู้ในสิ่งที่จำเป็น
              1.3   กลัว  ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและความคิดใหม่ๆ
              1.4   จมอยู่ในความชั่ว จนต้องปิดใจไม่ยอมรับฟังพระวาจา เพราะเกรงว่าจะถูกประณามและกล่าวโทษโดยพระวาจานั้น  การปิดใจโดยตั้งใจเช่นนี้ถือว่าอันตรายที่สุด ดังคำกล่าวที่ว่า คนที่ตาบอดสนิทที่สุดคือคนที่ตั้งใจมองไม่เห็น !
       2.    ปิดปัญญา  เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ฟังพระวาจาก็น้อมรับไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่ไม่เคยนำมาไตร่ตรองให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ เปรียบได้กับเมล็ดพืชที่ตกบนดินตื้นเหนือแผ่นหินปูน  เมื่อรากไม่หยั่งลึก ย่อมไม่อาจต้านทานกระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมอันเป็นภัยใหญ่หลวงของยุคนี้ได้
              ลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัดของผู้ฟังกลุ่มนี้คือจับจด  ตามแฟชั่น  เปลี่ยนงานอดิเรกบ่อย  เข้ากลุ่มนี้ออกกลุ่มโน้น  ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ริเริ่มไว้แต่ไม่เคยสานต่อให้สำเร็จ
       3.    วุ่นวาย  นี่คือลักษณะเฉพาะของคนเราทุกวันนี้ที่ปล่อยให้ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวายและยุ่งเหยิง  ไหนจะต้องทำงานประจำ ไหนจะต้องประชุม ไหนจะต้องพาครอบครัวไปพักผ่อน ไหนจะต้องร่วมกิจกรรมแห่งความรัก เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เยี่ยมคนป่วย คนชรา เด็กกำพร้า ฯลฯ  แต่กลับไม่มีเวลาเหลือสำหรับ ผู้ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก
              ชีวิตของคนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนเมล็ดพืชที่ถูกวัชพืชปกคลุมจนไม่มีเวลาสำหรับสวดภาวนา อ่าน ศึกษา และไตร่ตรองพระวาจาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เรารัก และเป็นผู้ที่เราทำกิจการแห่งความรักก็เพื่อพระองค์ มิใช่เพื่อสิ่งอื่นใด
              เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พรากเราจากพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป และนี่เป็นกับดักของปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดนั่นคือ มันใช้กิจการดีมาพรากเราจากสิ่งที่ดีที่สุด
              อย่าลืมว่า ศัตรูตัวสำคัญของสิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีรองลงไป ดังที่แชมป์โลกกลัวมากที่สุดก็คือรองแชมป์นั่นเอง !
       4.    ดินดี ลักษณะของผู้ฟังกลุ่มสุดท้ายและน่าพึงปรารถนาสำหรับเราทุกคนคือ
              4.1   เปิดใจ  พร้อมและเต็มใจเรียนรู้
              4.2   ฟัง  โดยกำจัดความ หยิ่ง และความ ยุ่งวุ่นวาย ในชีวิตออกไป เพราะหลายครั้งเราสามารถคลี่คลายปัญหาโลกแตกได้เพียงแค่รู้จักฟังเพื่อนและฟังพระเจ้าเท่านั้น
              4.3   ไตร่ตรอง ให้เข้าใจสิ่งที่ได้รับฟังมาว่ามีความหมายอย่างไรกับตัวเรา
              4.4   ปฏิบัติ ตามสิ่งที่เข้าใจเพื่อจะได้บังเกิดผล
ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (มธ 13:8, 23)
3. ผู้ประกาศพระวาจา
       หากย้อนเวลากลับไปสองพันปี เราจะพบว่าสภาพจิตใจของบรรดาอัครสาวกซึ่งจะเป็น ผู้ประกาศพระวาจา ต่อไปนั้น ช่างท้อแท้และหมดอาลัยตายอยากจริงๆ
       จริงอยู่พระอาจารย์ของพวกเขาทรงเป็นคนดีที่สุดและฉลาดปราดเปรื่องที่สุด  แต่หากพูดตามประสามนุษย์แล้ว คงต้องยอมรับว่าชีวิตของพระองค์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ไหนศาลาธรรมจะปิดประตูไม่ต้อนรับพระองค์  ไหนบรรดาผู้นำศาสนาจะต่อต้านและจ้องกำจัดพระองค์  อีกทั้งฝูงชนก็มีเพียงน้อยนิดที่กลับใจจริงๆ  นอกนั้นล้วนมาเพราะหวังผลประโยชน์จากพระองค์ ซึ่งเมื่อได้แล้วก็ตีจากพระองค์ไป
       ดังนั้น เพื่อสร้าง ความมั่นใจ ว่า จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวแน่  พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน ให้พวกเขาฟัง
       แม้บางเมล็ดจะตกตามทางเดินและถูกนกจิกกิน  บางเมล็ดจะตกบนดินตื้นและไม่โต  และบางเมล็ดอาจถูกพงหนามหรือวัชพืชปกคลุมจนเฉาตายไป  แต่ถึงที่สุดแล้วจะมีผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง หรือสามสิบเท่าบ้าง ให้เก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน
       ความหมายที่พระองค์ปรารถนาสื่อถึง ผู้ประกาศพระวาจา ทุกคนคือ
       1.    ผู้ประกาศพระวาจาต้อง หว่าน แม้ไม่รู้ว่าพระวาจาเติบโตอย่างไร และจะเกิดผลมากน้อยเพียงใด
              ที่อังกฤษมีชายสูงวัยมากคนหนึ่งชื่อโทมัส เขามาวัดตามลำพังเป็นประจำเพราะคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาตายไปหมดแล้ว ลูกวัดรุ่นหลังก็ไม่มีใครรู้จักเขา  เมื่อโทมัสตาย ลูกวัดคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่องเล่านี้เกรงว่าจะไม่มีคนไปฝังศพ เขาจึงตัดสินใจไปร่วมงานศพของโทมัส
              วันนั้นฝนตก ที่สุสานมีเพียงนายทหารไม่ทราบยศเพราะใส่เสื้อกันฝนทับเครื่องแบบรออยู่เพียงคนเดียว  ต่อหน้าหลุมศพ นายทหารผู้นั้นทำความเคารพศพของโทมัสแบบเดียวกับที่ทำให้พระมหากษัตริย์
              หลังพิธี นายทหารผู้นั้นเดินคุยมากับผู้เขียน ระหว่างนั้นลมกระโชกแรง พัดเสื้อกันฝนออก เขาใส่เครื่องแบบนายพลจัตวา !
              ท่านนายพลเล่าว่า สมัยเป็นเด็กเขาดื้อและชอบแกล้งโทมัสซึ่งเป็นครูคำสอนของเขา  โทมัสไม่เคยรู้เลยว่าได้ทำอะไรแก่เขา แต่เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะคุณครูโทมัส  เขาจึงต้องมาคารวะคุณครูเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้
              โทมัสไม่รู้ว่าได้ทำอะไร  เราก็ไม่รู้  แต่หน้าที่ของเราคือ หว่านพระวาจา แล้วพระเจ้าจะทรงจัดการสิ่งที่เหลือ
       2.    อย่าหวังผลเร็ว  อย่าเร่งรัดธรรมชาติ  ลองคิดดูสิว่าต้องใช้เวลากี่ปีกันต้นสักจึงจะเติบโตจนตัดไม้สักมาใช้ประโยชน์ได้ ?
              พระวาจาก็เช่นเดียวกัน บางครั้งต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะบังเกิดผลในจิตใจของเรามนุษย์
              บ่อยครั้งที่พระวาจาเข้าไปฝังตัวและหลับอยู่ในจิตใจของเด็ก แต่สักวันหนึ่งพระวาจาจะตื่นขึ้นและช่วยเด็กให้รอดพ้นจากการประจญล่อลวงและความตายฝ่ายวิญญาณ
              ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับดัชนีชี้วัดที่กำหนดให้งานนี้ต้องเสร็จภายในสามวัน งานนั้นภายในเจ็ดวัน  แต่เราจะนำดัชนีชี้วัดมาใช้กับการประกาศพระวาจาไม่ได้
              เพราะผู้หว่านพระวาจาจำเป็นต้อง อดทน และ เปี่ยมด้วยความหวัง !
4. ธรรมล้ำลึก
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น (มธ 13:11)
       ธรรมล้ำลึก ตรงกับคำกรีก musteria (มูสเตรีอา) ซึ่งในอาณาจักรกรีกและโรมันสมัยพระเยซูเจ้า ใช้ในความหมายของ ความลับ (secrets) มากกว่า ธรรม ล้ำลึก (mystery)
       ธรรมล้ำลึก สำหรับเราคือสิ่งที่ดำมืด ยาก และไม่มีทางเข้าใจได้
       ส่วน ความลับ คือสิ่งที่คนนอกไม่รู้ แต่คนในหรือสมาชิกรู้และเข้าใจดี ตัวอย่างเช่น พิธีบูชามิสซา ผู้ที่พบเห็นครั้งแรกอาจสงสัยว่าทำไมคนมากมายจึงมารวมกันเพียงเพื่อกินขนมปังชิ้นเล็กนิดเดียว บางคนอาจนึกขำหรือเยาะเย้ยอยู่ในใจ  ซึ่งตรงกันข้ามกับคริสตชนที่มองว่า มิสซาและศีลมหาสนิทคือสิ่งประเสริฐสุดในชีวิตของพระศาสนจักร
       จึงดูเหมือนพระองค์ต้องการจะบอกบรรดาศิษย์ว่า คนนอกไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์  แต่เพราะพวกท่านเป็นศิษย์ของเราจึงเข้าใจทุกสิ่งที่เราพูดกับท่าน
       เพราะฉะนั้นเราอาจสรุปหลักการของพระองค์ได้ว่า พระเจ้าไม่ทรงกีดกันผู้หนึ่งผู้ใดจากความรู้เรื่องอาณาจักรสวรรค์  แต่พระองค์ทรงเปิดโอกาสแก่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า และกลายเป็น คนใน ของพระศาสนจักร
       เหตุผลที่พระองค์ทรงยกมาประกอบหลักการนี้คือ เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ  ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย (มธ 13:12)
       ฟังดูเหมือนโหดร้าย แต่ชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้ !
       คนที่มีเงินทุนมาก มีความรู้สูง มีเพื่อนพ้องคอยอุปถัมภ์ ย่อมมีโอกาสลงทุนในกิจการใหญ่และได้กำไรสูง เป็นการเพิ่มเงินทุนที่มีมากอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก  ตรงกันข้าม คนที่มีเงินทุนน้อย เพื่อนก็น้อย โอกาสก็น้อย  ต่อให้ทำงานตัวเป็นเกลียวก็อาจขาดทุนจนหมดตัวได้
       หรือนักกีฬาที่เก่งและมีชื่อเสียงย่อมได้รับเชิญไปร่วมแข่งขันรายการสำคัญ  ทำให้มีโอกาสแข่งขันกับผู้มีประสบการณ์สูงกว่า พัฒนาตัวเองได้มากกว่า  ส่วนนักกีฬาที่ไม่มีชื่อเสียง โอกาสย่อมน้อย และหากหมดกำลังใจจน อ่อนซ้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตเลย
       กับความดีก็เช่นเดียวกัน หากเราชนะการประจญครั้งนี้ได้ เราย่อมหวังว่าจะชนะการประจญครั้งต่อ ๆ ไปและจะชนะในเรื่องใหญ่ ๆ ด้วย  หรือหากเราควบคุมตัวเองให้ รัก รับใช้ และช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจ  เรายิ่งมีหลักประกันว่าจะไม่พลาดโอกาสดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสตเจ้า เมื่อโอกาสนั้นผ่านมา
       ยิ่งดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเยซูเจ้ามากเท่าใด เรายิ่งซึมซับอุดมการณ์ของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  แต่หากถอยห่างจากพระองค์มากเท่าใด เรายิ่งหมดหวังทำความดีมากขึ้นเท่านั้น !
       เราจึงต้องดำเนินชีวิตเป็น คนใน ของพระองค์ให้มากขึ้น  เพื่อพระเจ้าจะประทาน ธรรมล้ำลึก เรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้เรารู้มากขึ้นและยิ่งมากขึ้นไปอีก !
5. ตรัสเป็นอุปมา
       ปัญหาของบรรดาศิษย์คือ ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า คำตอบคือ เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา  ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ (มธ 13:13)
       แปลว่า หากพระองค์ไม่ทรงสอนเป็นคำอุปมา
พวกเขาจะนึกภาพไม่ออกและไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส
       เหตุผลนี้ง่ายและรับฟังได้ !
แต่เมื่อพระองค์ทรงยกคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ที่รับบัญชาจากพระเจ้าว่า ไปเถิด ไปบอกประชากรนี้ว่า ท่านจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ ท่านจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่รู้  จงทำให้ใจของประชากรนี้ด้านไป  ทำให้หูของเขาหนวก ทำให้ตาของเขาบอด  ตาของเขาจะไม่ได้เห็น หูของเขาจะไม่ได้ยิน ใจของเขาจะไม่เข้าใจ  เขาจะได้ไม่กลับมารับการรักษาให้หาย’” (อสย 6:9-10)  กอปรกับมาระโกได้บันทึกเรื่องราวเดียวกันไว้ว่า พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นคำอุปมา เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่าแต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังเล่าแต่ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรง          ให้อภัยเขา (มก 4:12)
       จึงดูเหมือนพระเจ้าในหนังสือประกาศกอิสยาห์และพระเยซูเจ้าในพระวรสารของนักบุญมาระโกจะทรงมีเจตนาทำให้ประชาชนมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่กลับใจ  ส่วนมัทธิวทำให้ความรับผิดชอบของพระเจ้าอ่อนลงโดยถือว่ามนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพราะ จิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง (มธ 13:15)
       เพื่อจะเข้าใจพระวาจาที่ยากที่สุดตอนหนึ่งนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุที่ทำให้ประกาศกอิสยาห์ทำนายเช่นนั้น เผื่อว่าเราจะเข้าใจพระเยซูเจ้าดีขึ้น
       1.    อิสยาห์งง  ท่านคิดว่าคำสอนของท่านชัดเจน น่าสนใจ และสำคัญที่สุด แต่ทำไมประชาชนจึงไม่เข้าใจและไม่ยอมรับ ?
              พระเยซูเจ้าก็ทรงงงเช่นกัน !
       2.    อิสยาห์สิ้นหวัง  ท่านรู้สึกว่ายิ่งสอน สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง  ไหนตัวท่านเองจะตกอยู่ในอันตราย  ไหนประชาชนจะยิ่งดำเนินชีวิตถอยห่างจากพระเจ้า
       3.    แต่เหนืออื่นใด ทั้งอิสยาห์และพระเยซูเจ้าต่าง วางใจพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดจิตใจ เพราะเป็นความเชื่อของชาวยิวอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่บังเกิดขึ้นนอกเหนือพระประสงค์ของพระเจ้า
              ทุกสิ่งล้วนอยู่ในแผนการของพระเจ้า !
              ไม่ว่ามนุษย์จะฟังหรือไม่ฟังพระองค์ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ล้วนอยู่ในแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น
              นักบุญเปาโลก็เชื่อเช่นนี้และชี้ให้เห็นว่า การที่ชาวยิวปฏิเสธและตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าส่งผลให้ ข่าวดีได้ไปสู่คนต่างศาสนา  และสักวันหนึ่งคนต่างศาสนานี่เองจะช่วยชาวยิวให้รอดพ้น (รม 9-11)
              สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความเลวร้าย กลับกลายเป็นความดีสำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่
              นี่คือแผนการของพระเจ้า !
       เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าทรงอ้างคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เพื่อให้กำลังใจบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า เรารู้ว่ามันน่าผิดหวัง เรารู้ว่าพวกท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อจิตใจของผู้คนปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง  แต่ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงมีเป้าหมาย คอยดูสิ !”
       บางครั้งเราหว่านเมล็ดพืชแล้วได้ผล  บางครั้งได้แต่ผืนดินว่างเปล่า  บางครั้งเรารู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ นอกจากความล้มเหลว
       วันนี้พระองค์ประทานกำลังใจแก่เราทุกคน...
ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนอยู่ในแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า !
       จงวางใจพระองค์เถิด...
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ประชาสัมพันธ์
1.  พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์  โกวิทวาณิช  จะมาเยี่ยมอภิบาล (Pastoral Visit)  ที่วัดเซนต์จอห์น ในวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2011 เวลา 16.00 น. และเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณ เวลา 18.00 น.
2.  สัมมนาพระสงฆ์ประจำปี ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2011  ที่บ้านผู้หว่าน สามพราน
3.   ขอความร่วมมือจากพี่น้องทุกท่าน
1) วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนมาเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน สวดภาวนา, นมัสการพระเจ้า และร่วมพิธีกรรม  ขอให้แต่งกายสุภาพ เหมาะสม (อย่าสั้นเกินไป, ลึกเกินไป, โชว์มากไป ฯลฯ)
2) ทุกครั้งที่รับศีลมหาสนิท ขอให้ทุกคนตอบรับ อาแมน กับพระสงฆ์ทุกครั้ง  (วัดในเขต 2 ที่ตกลงร่วมกันให้ช่วยรณรงค์ตามวัด เนื่องจากหลายวัดมีปัญหา ผู้ที่มารับศีลฯ ไม่ใช่คริสตชน)
4.   วันอาทิตย์ที่ 10 ก.ค.  ขอเชิญประชุมผู้สูงอายุ   เวลา 10.30 น.    ณ ห้องประชุมชั้น 1
5.   เชิญร่วมงาน มารีอาโปลี วันที่ 16-18 ก.ค. 2011 ณ ห้องประชุม บ้านผู้หว่าน สามพราน  ติดต่อได้ที่ 089-430-6599, 02-510-9357
6.  ประกาศแต่งงาน  
      คู่ที่ 1    ฝ่ายชาย   นายอดิศร ศรีบุษย์ บุตร นายอุดม และนางเสงี่ยม   ศรีบุษย์  ฝ่ายหญิง  โรซา สุนันท์ คำหอม  บุตรี นายจำนงค์  และ  นางรำพึง คำหอม  สมรสวันเสาร์ที่ 16 ก.ค. 2011 เวลา 10.00 น.
      คู่ที่ 2    ฝ่ายชาย   นายพงศ์ศักร บุญปาลิต บุตร นายนักธรรม และนางพิชญาลักษณ์ บุญปาลิต  ฝ่ายหญิง  เทเรซา ณัฐหทัย บุญปาลิต บุตรี นายเสน่ห์  และ  นางอำนวย พวงรัตน์  สมรสวันศุกร์ที่ 22 ก.ค. 2011 เวลา 10.00 น. 
            ถ้าผู้ใดทราบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีข้อขัดขวางมิให้สมรสได้ ต้องแจ้งให้พระสงฆ์    เจ้าอาวาสทราบ