อาทิตย์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 11:25-30
(25) เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย (26) ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น (27) พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้
(28) “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน (29) จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน (30) เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”
1. ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย” (มธ 11:25)
คำสรรเสริญนี้ออกมาจากประสบการณ์และชีวิตจริงของพระองค์เอง บรรดาธรรมาจารย์ ฟาริสี และผู้มีปรีชารอบรู้ทั้งหลายไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเมส- สิยาห์ แต่ประชาชนผู้ต่ำต้อยกลับต้อนรับพระองค์ด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่ตรัสเช่นนี้มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงรังเกียจ “พลัง” ของสติปัญญา แต่เป็น “ความหยิ่งจองหอง” ของสติปัญญาต่างหากที่พระองค์ทรงรังเกียจและตำหนิ
เพราะเป็นความหยิ่งจองหองนั่นเองที่ฉุดรั้งมนุษย์จากพระเจ้า ส่วนความเฉลียวฉลาดนั้นไม่เคยปิดกั้นเราจากพระองค์
เราอาจเฉลียวฉลาดเทียบเท่ากษัตริย์โซโลมอน แต่ถ้าขาดหัวใจที่สุภาพ วางใจ และใสซื่อเหมือนเด็กเล็กๆ เราก็ปิดกั้นตัวเราจากพระองค์
ปราชญ์ท่านหนึ่งจึงกล่าวไว้ว่า “ที่พำนักของพระวรสารคือหัวใจ ไม่ใช่หัวคิด”
พวกธรรมาจารย์เองก็ตระหนักดีถึงอันตรายของความหยิ่งจองหองของสติปัญญา พวกเขาจึงเล่าเรื่องเตือนใจตัวเองว่า “ครั้งหนึ่งเกิดโรคระบาดใหญ่ในเมืองสูรา (Sura) แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับรับ (Rab) ซึ่งเป็นธรรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียง กลับไม่มีผู้ใดติดโรค ชาวบ้านพากันคิดว่าคงเป็นเพราะคุณงามความดีของรับ แต่พวกเขาได้รับแจ้งในฝันว่าเป็นเพราะชายคนหนึ่งซึ่งเต็มใจให้คนอื่นยืมจอบและพลั่วสำหรับขุดหลุมฝังศพ และเมื่อเกิดไฟไหม้ที่เมืองโดรเคอเรท (Drokeret) เพื่อนบ้านของรับบีฮูนาคิดว่าเป็นเพราะคุณงามความดีของท่านรับบี บ้านของพวกเขาจึงรอดพ้นจากกองเพลิง แต่ในฝันพวกเขาได้รับแจ้งว่าเป็นเพราะหญิงคนหนึ่งซึ่งเต็มใจให้เพื่อนบ้านใช้เตาอบ”
ชายและหญิงที่กล่าวมามิได้มีสติปัญญาโดดเด่นดุจเดียวกับธรรมาจารย์ก็จริง แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและความสุภาพถ่อมตนต่างหากที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
ใช่ “พระองค์ทรงพอพระทัยเช่นนั้น” ! (มธ 11:26)
2. ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร
ชาวกรีกถือว่ายากที่จะรู้จักพระเจ้า และเมื่อรู้จักแล้วก็ยิ่งยากที่จะอธิบายให้ผู้อื่นฟัง
โซฟาร์เพื่อนของโยบก็ชี้ให้เห็นความล้ำลึกของพระเจ้าเมื่อเขาถามโยบว่า “ท่านล่วงรู้ส่วนลึกของพระเจ้าหรือ ?” (โยบ 11:7)
แต่วันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า” (มธ 11:27)
นี่คือเอกสิทธิ์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เอกสิทธิ์อันเป็นศูนย์กลางความเชื่อของเราคริสตชน นั่นคือ “ไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้” (มธ 11:27) หรือตามสำนวนของนักบุญยอห์นว่า “ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย” (ยน 14:9)
ความหมายของพระองค์คือ หากเราต้องการรู้ว่าพระบิดาทรงมีนิสัยใจคอ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ตลอดจนทัศนคติต่อเราอย่างไรแล้วละก็ ให้ดูที่พระองค์
เป็นความเชื่อมั่นสูงสุดของเราคริสตชนว่า ในพระเยซูคริสตเจ้าเท่านั้นที่เราสามารถรู้จักพระเจ้า และพระองค์เท่านั้นสามารถประทานความรู้นี้แก่ทุกคนที่มีความสุภาพถ่อมตนพอที่จะน้อมรับความรู้นั้น
3. ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด
พระเยซูเจ้าตรัสถึงบรรดาธรรมาจารย์และฟารีสีว่าพวกเขา “มัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น” (มธ 23:4)
สัมภาระหนักที่พวกเขาวางบนบ่าคนอื่นคือกฎระเบียบหยุมหยิมไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขาทำให้คำว่า “ท่านจะต้องไม่...ท่านจะต้องไม่...” กลายเป็นหัวใจของศาสนา
พวกธรรมาจารย์เองก็รับรู้ปัญหาเหล่านี้ พวกเขาเล่านิทานเปรียบเทียบที่น่าสลดใจเพื่อแสดงว่าธรรมบัญญัตินั้นผูกพัน บีบรัด เรียกร้อง และเป็นภาระหนักมากเพียงใด
หญิงหม้ายยากจนคนหนึ่งมีบุตรสาวสองคนพร้อมกับนาอีกแปลงหนึ่ง เมื่อนางเริ่มไถนา โมเสส (นั่นคือธรรมบัญญัติของโมเสส) บอกนางว่า “ท่านจะต้องไม่ไถนาด้วยวัวและลาพร้อมกัน” เมื่อนางเริ่มหว่านเมล็ดพืช โมเสสพูดว่า “ท่านจะต้องไม่หว่านนาของท่านด้วยเมล็ดพืชต่างชนิดกัน” ต่อมานางเริ่มเก็บเกี่ยวพืชผล โมเสสคนเดิมพูดอีกว่า “เมื่อท่านเก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งนาแล้วลืมฟ่อนข้าวไว้ ท่านจะต้องไม่กลับไปเก็บ” (ฉธบ 24:19) และ “ท่านจะต้องไม่เกี่ยวรวงข้าวที่ขอบนาจนหมด” (ลนต 19:9) เมื่อนางนวดข้าว โมเสสกลับมาบอกนางว่า “ท่านต้องถวายสิบชักหนึ่ง” นางก็แสนดี ปฏิบัติตามคำสั่งของโมเสสทุกประการ
แต่เพื่อความอยู่รอด นางตัดสินใจขายนาแล้วนำเงินไปซื้อแกะสองตัว โดยหวังจะอาศัยขนแกะทำเครื่องนุ่งห่ม และขายลูกแกะเกิดใหม่หารายได้ปะทังชีวิต
เมื่อลูกแกะถือกำเนิดขึ้นมา อาโรน (นั่นคือข้อเรียกร้องของพระสงฆ์) ตรงเข้ามาบอกนางว่า “ลูกแกะหัวปีต้องเป็นของเรา” นางก็ยอมให้ลูกแกะตัวแรกไป เมื่อถึงเวลาตัดขนแกะ อาโรน กลับมาบอกว่า “ท่านจะต้องให้ผลิตผลแรกจากข้าวสาลี เหล้าองุ่นใหม่และน้ำมันมะกอก รวมทั้งขนแกะแก่สมณะ” (ฉธบ 18:4) นางสุดทนจึงคิดจะฆ่าแกะกิน แต่อาโรนก็ตามนางไม่เลิก “สมณะจะมีสิทธิ์รับขาหน้า เนื้อแก้ม และเนื้อท้อง” (ฉธบ 18:3) นางจึงพูดกับบุตรสาวว่า “ถึงเราจะฆ่าแกะก็ยังไม่รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขาอยู่ดี อย่ากระนั้นเลย ให้เราถวายแกะเหล่านี้แด่พระเจ้าเถิด”
เหลือเชื่อ อาโรนพูดกับนางว่า “ของทุกอย่างที่ชาวอิสราเอลถวายขาดแด่พระยาห์เวห์จะเป็นของฉัน” (กดว 18:14) แล้วก็ฉวยแกะไปทั้งหมด ปล่อยให้นางร้องไห้อยู่กับบุตรสาวทั้งสอง
แม้เป็นเพียงนิทานเปรียบเทียบ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าธรรมบัญญัติเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ทุกแง่ทุกมุมและไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเลย
ช่างเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์จริง ๆ !
สำหรับผู้ที่เผชิญกับภาระหนักเช่นนี้ พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน” (มธ 11:28)
พร้อมกันนี้ ทรงเชิญชวนทุกคนว่า “จงรับแอกของเราแบกไว้ เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” (มธ 11:29-30)
ชาวยิวใช้คำว่า “แอก” เพื่อหมายถึง “การยอมมอบตนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง” เช่น แอกของกฎหมายหมายถึงการยอมมอบตนปฏิบัติตามกฎหมาย แอกของอาณาจักรสวรรค์หมายถึงการยอมมอบตนต่อข้อเรียกร้องของอาณาจักรสวรรค์ แอกของพระเจ้าหมายถึงการอุทิศตนมอบถวายแด่พระเจ้า เป็นต้น
แอกของพระเยซูเจ้าจึงหมายถึง “การยอมมอบตนเป็นศิษย์ของพระองค์”
ที่สำคัญแอกของพระองค์น่าแบกเพราะว่า “อ่อนนุ่ม” !
คำ “อ่อนนุ่ม” ตรงกับภาษากรีก chrēstos (เครสตอส) ซึ่งหมายถึง “เหมาะพอดี” (being well adapted to fulfill a purpose)
ในปาเลสไตน์ ชาวยิวทำแอกเฉพาะอันให้วัวแต่ละตัว พวกเขานำวัวไปให้ช่างวัดขนาด เมื่อช่างทำแอกเสร็จ พวกเขาจะนำวัวกลับไปลองแอกและปรับแต่งให้เหมาะพอดีกับคอวัวเพื่อจะได้ไม่เกิดแผลเวลาใส่
หมายความว่า หากเราเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า พระองค์จะประทานแอกที่ไม่ทำร้ายเรา เพราะมันเหมาะพอดีกับความจำเป็นและความสามารถของเราแต่ละคน
และเมื่อตรัสว่า “ภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” (มธ 11:30) พระองค์มิได้หมายความว่าภาระของพระองค์แบกได้ง่ายหรือสบาย แต่หมายความว่าพระองค์ทรงประทานภาระแก่เราด้วย “ความรัก” ซึ่งจะทำให้ภาระที่หนักที่สุดกลายเป็น “เบา”
มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งพบเด็กเล็กๆ คนหนึ่งกำลังแบกเด็กพิการที่เล็กกว่าอีกไว้บนหลัง ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ภาระนั่นไม่หนักไปหน่อยหรือ พ่อหนุ่ม ?” เด็กคนนั้นตอบว่า “นี่ไม่ใช่ภาระ นี่เป็นพี่น้องตัวจิ๋วของผม”
เมื่อเรารู้ซึ้งถึง “ความรักของพระเจ้า” และรู้ว่าภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่เราคือ “รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์”
ภาระอะไรๆ ก็เบาไปหมด !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น