วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2011

อาทิตย์ที่ 15  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 13:1-23 หรือ 1-9
(1)วันเดียวกันนั้นพระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ (2) ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง (3)พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา
พระองค์ตรัสว่า จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  (4)ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  (5)บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก  (6)แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  (7)บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป  (8)บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (9)ใครมีหูก็จงฟังเถิด
(10)บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า (11)พระองค์ทรงตอบว่า พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น (12)เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย (13)เพราะฉะนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ (14)สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่าแต่จะไม่เห็น (15)เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำหูทวนลมและปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา (16) ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง (17)เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง
(18)เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด  (19)เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง  (20)เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที (21)แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที  (22)เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล  (23)ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง


1. สภาพดิน
ทุ่งนาในปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นริ้วคือแคบแต่ยาว  ระหว่างริ้วนาแต่ละผืน ประชาชนมีสิทธิ์ใช้เป็นทางเดิน ดินจึงถูกผู้สัญจรเหยียบย่ำจนอัดกันแน่นชนิดที่เมล็ดพืชไม่มีทางออกรากไชลงไปได้เลย
พื้นหินที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงมิได้หมายถึงดินปนหิน แต่เป็นดินล้วนที่มีความหนาน้อยมาก บางแห่งหนาเพียง 2-3 นิ้วเหนือชั้นหินปูนซึ่งมองไม่เห็น  เมื่อเมล็ดพืชตกลงบนพื้น มันจะงอกงามรวดเร็วมากเพราะดินบางจึงอบอุ่นเร็วยามต้องแสงอาทิตย์  แต่เมื่อโตขึ้น รากของมันไม่สามารถเจาะไชผ่านหินปูนลงไปในดินลึกได้ จึงขาดน้ำเลี้ยงและเหี่ยวแห้งเฉาตายไปในที่สุด
พื้นดินที่มีพงหนามไม่ได้หมายความว่าชาวนาละเลยการเตรียมดินก่อนหว่านเมล็ดพืช  พวกเขาไถและเตรียมดินอย่างดีแต่ไม่อาจเอาชนะหัววัชพืชที่ซ่อนอยู่ในดินได้  ทั้งเมล็ดพืชและหัววัชพืชจึงเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน เพียงแต่วัชพืชแข็งแรงกว่าจึงแย่งน้ำเลี้ยงไปหมดและปล่อยให้เมล็ดพืชแห้งตายไปในที่สุด
ส่วนดินดีนั้น ลึก นุ่ม และปราศจากวัชพืช เมล็ดพืชสามารถเจริญเติบโตและบังเกิดผลอุดมสมบูรณ์สำหรับการเก็บเกี่ยว
วิธีหว่านเมล็ดพืชที่นิยมใช้กันมี 2 วิธีคือ
1.    ใช้คนเดินหว่านเมล็ดพืช ซึ่งหากมีลมพัด เมล็ดพืชอาจปลิวไปตกที่ไหนก็ได้แม้แต่นอกที่นาของตัวเอง
2.    ใช้กระสอบใส่เมล็ดพืชวางบนหลังลา เจาะรูที่มุมกระสอบ แล้วจูงลาเดินไปตามท้องนา ล้วระสอบใส่หนก็ได้แม้แต่นอกท้อง 2 วิธีคือ เมล็ดพืชบางส่วนอาจตกเรี่ยราดขณะลาข้ามทางเดิน

ขณะประทับอยู่ในเรือเพื่อประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งกำลังหว่านเมล็ดพืชอยู่บนฝั่ง พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน เพื่อสอนประชาชนซึ่งเป็น ผู้รับฟัง และในเวลาเดียวกันก็เพื่อให้กำลังใจบรรดาอัครสาวกซึ่งเป็น ผู้ประกาศ พระวาจาของพระองค์
นี่คืออัจฉริยภาพของพระองค์ที่ทรงสามารถใช้สิ่งที่ทุกคนเห็นและเข้าใจได้ เพื่ออธิบายสิ่งที่ยังมองไม่เห็นและยังไม่เข้าใจ
2. ผู้รับฟังพระวาจา
       เรื่องขำขันจะขำหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้รับฟังฉันใด
พระวาจาจะบังเกิดผลหรือไม่ก็ย่อมขึ้นอยู่กับผู้รับฟังฉันนั้น
       จากอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน  พระเยซูเจ้าทรงแบ่งผู้รับฟังพระวาจาออกเป็น 4 ประเภทคือ
       1.    ปิดใจ  ผู้ฟังกลุ่มนี้ไม่ยอมเปิดใจรับฟังข่าวดีใดๆ ทั้งสิ้น  พระวาจาไม่มีทางซึมซาบเข้าไปในจิตใจของเขา ดุจเดียวกับเมล็ดพืชที่ไม่สามารถเจาะไชรากเข้าไปในดินที่ถูกเหยียบย่ำจนอัดแน่นเป็นทางเดินได้
              สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรา ปิดใจ ไม่ยอมรับฟังพระวาจาได้แก่
              1.1   อคติ  ซึ่งทำให้จิตใจของเราบอดมืดต่อทุกสิ่งที่ไม่อยากเห็น
              1.2   หยิ่ง  คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว เลยพลาดโอกาสรู้ในสิ่งที่จำเป็น
              1.3   กลัว  ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและความคิดใหม่ๆ
              1.4   จมอยู่ในความชั่ว จนต้องปิดใจไม่ยอมรับฟังพระวาจา เพราะเกรงว่าจะถูกประณามและกล่าวโทษโดยพระวาจานั้น  การปิดใจโดยตั้งใจเช่นนี้ถือว่าอันตรายที่สุด ดังคำกล่าวที่ว่า คนที่ตาบอดสนิทที่สุดคือคนที่ตั้งใจมองไม่เห็น !
       2.    ปิดปัญญา  เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ฟังพระวาจาก็น้อมรับไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่ไม่เคยนำมาไตร่ตรองให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ เปรียบได้กับเมล็ดพืชที่ตกบนดินตื้นเหนือแผ่นหินปูน  เมื่อรากไม่หยั่งลึก ย่อมไม่อาจต้านทานกระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมอันเป็นภัยใหญ่หลวงของยุคนี้ได้
              ลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัดของผู้ฟังกลุ่มนี้คือจับจด  ตามแฟชั่น  เปลี่ยนงานอดิเรกบ่อย  เข้ากลุ่มนี้ออกกลุ่มโน้น  ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ริเริ่มไว้แต่ไม่เคยสานต่อให้สำเร็จ
       3.    วุ่นวาย  นี่คือลักษณะเฉพาะของคนเราทุกวันนี้ที่ปล่อยให้ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวายและยุ่งเหยิง  ไหนจะต้องทำงานประจำ ไหนจะต้องประชุม ไหนจะต้องพาครอบครัวไปพักผ่อน ไหนจะต้องร่วมกิจกรรมแห่งความรัก เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เยี่ยมคนป่วย คนชรา เด็กกำพร้า ฯลฯ  แต่กลับไม่มีเวลาเหลือสำหรับ ผู้ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก
              ชีวิตของคนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนเมล็ดพืชที่ถูกวัชพืชปกคลุมจนไม่มีเวลาสำหรับสวดภาวนา อ่าน ศึกษา และไตร่ตรองพระวาจาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เรารัก และเป็นผู้ที่เราทำกิจการแห่งความรักก็เพื่อพระองค์ มิใช่เพื่อสิ่งอื่นใด
              เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พรากเราจากพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป และนี่เป็นกับดักของปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดนั่นคือ มันใช้กิจการดีมาพรากเราจากสิ่งที่ดีที่สุด
              อย่าลืมว่า ศัตรูตัวสำคัญของสิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีรองลงไป ดังที่แชมป์โลกกลัวมากที่สุดก็คือรองแชมป์นั่นเอง !
       4.    ดินดี ลักษณะของผู้ฟังกลุ่มสุดท้ายและน่าพึงปรารถนาสำหรับเราทุกคนคือ
              4.1   เปิดใจ  พร้อมและเต็มใจเรียนรู้
              4.2   ฟัง  โดยกำจัดความ หยิ่ง และความ ยุ่งวุ่นวาย ในชีวิตออกไป เพราะหลายครั้งเราสามารถคลี่คลายปัญหาโลกแตกได้เพียงแค่รู้จักฟังเพื่อนและฟังพระเจ้าเท่านั้น
              4.3   ไตร่ตรอง ให้เข้าใจสิ่งที่ได้รับฟังมาว่ามีความหมายอย่างไรกับตัวเรา
              4.4   ปฏิบัติ ตามสิ่งที่เข้าใจเพื่อจะได้บังเกิดผล
ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง (มธ 13:8, 23)
3. ผู้ประกาศพระวาจา
       หากย้อนเวลากลับไปสองพันปี เราจะพบว่าสภาพจิตใจของบรรดาอัครสาวกซึ่งจะเป็น ผู้ประกาศพระวาจา ต่อไปนั้น ช่างท้อแท้และหมดอาลัยตายอยากจริงๆ
       จริงอยู่พระอาจารย์ของพวกเขาทรงเป็นคนดีที่สุดและฉลาดปราดเปรื่องที่สุด  แต่หากพูดตามประสามนุษย์แล้ว คงต้องยอมรับว่าชีวิตของพระองค์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ไหนศาลาธรรมจะปิดประตูไม่ต้อนรับพระองค์  ไหนบรรดาผู้นำศาสนาจะต่อต้านและจ้องกำจัดพระองค์  อีกทั้งฝูงชนก็มีเพียงน้อยนิดที่กลับใจจริงๆ  นอกนั้นล้วนมาเพราะหวังผลประโยชน์จากพระองค์ ซึ่งเมื่อได้แล้วก็ตีจากพระองค์ไป
       ดังนั้น เพื่อสร้าง ความมั่นใจ ว่า จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวแน่  พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่อง ผู้หว่าน ให้พวกเขาฟัง
       แม้บางเมล็ดจะตกตามทางเดินและถูกนกจิกกิน  บางเมล็ดจะตกบนดินตื้นและไม่โต  และบางเมล็ดอาจถูกพงหนามหรือวัชพืชปกคลุมจนเฉาตายไป  แต่ถึงที่สุดแล้วจะมีผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง หรือสามสิบเท่าบ้าง ให้เก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน
       ความหมายที่พระองค์ปรารถนาสื่อถึง ผู้ประกาศพระวาจา ทุกคนคือ
       1.    ผู้ประกาศพระวาจาต้อง หว่าน แม้ไม่รู้ว่าพระวาจาเติบโตอย่างไร และจะเกิดผลมากน้อยเพียงใด
              ที่อังกฤษมีชายสูงวัยมากคนหนึ่งชื่อโทมัส เขามาวัดตามลำพังเป็นประจำเพราะคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาตายไปหมดแล้ว ลูกวัดรุ่นหลังก็ไม่มีใครรู้จักเขา  เมื่อโทมัสตาย ลูกวัดคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เขียนเรื่องเล่านี้เกรงว่าจะไม่มีคนไปฝังศพ เขาจึงตัดสินใจไปร่วมงานศพของโทมัส
              วันนั้นฝนตก ที่สุสานมีเพียงนายทหารไม่ทราบยศเพราะใส่เสื้อกันฝนทับเครื่องแบบรออยู่เพียงคนเดียว  ต่อหน้าหลุมศพ นายทหารผู้นั้นทำความเคารพศพของโทมัสแบบเดียวกับที่ทำให้พระมหากษัตริย์
              หลังพิธี นายทหารผู้นั้นเดินคุยมากับผู้เขียน ระหว่างนั้นลมกระโชกแรง พัดเสื้อกันฝนออก เขาใส่เครื่องแบบนายพลจัตวา !
              ท่านนายพลเล่าว่า สมัยเป็นเด็กเขาดื้อและชอบแกล้งโทมัสซึ่งเป็นครูคำสอนของเขา  โทมัสไม่เคยรู้เลยว่าได้ทำอะไรแก่เขา แต่เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะคุณครูโทมัส  เขาจึงต้องมาคารวะคุณครูเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้
              โทมัสไม่รู้ว่าได้ทำอะไร  เราก็ไม่รู้  แต่หน้าที่ของเราคือ หว่านพระวาจา แล้วพระเจ้าจะทรงจัดการสิ่งที่เหลือ
       2.    อย่าหวังผลเร็ว  อย่าเร่งรัดธรรมชาติ  ลองคิดดูสิว่าต้องใช้เวลากี่ปีกันต้นสักจึงจะเติบโตจนตัดไม้สักมาใช้ประโยชน์ได้ ?
              พระวาจาก็เช่นเดียวกัน บางครั้งต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะบังเกิดผลในจิตใจของเรามนุษย์
              บ่อยครั้งที่พระวาจาเข้าไปฝังตัวและหลับอยู่ในจิตใจของเด็ก แต่สักวันหนึ่งพระวาจาจะตื่นขึ้นและช่วยเด็กให้รอดพ้นจากการประจญล่อลวงและความตายฝ่ายวิญญาณ
              ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับดัชนีชี้วัดที่กำหนดให้งานนี้ต้องเสร็จภายในสามวัน งานนั้นภายในเจ็ดวัน  แต่เราจะนำดัชนีชี้วัดมาใช้กับการประกาศพระวาจาไม่ได้
              เพราะผู้หว่านพระวาจาจำเป็นต้อง อดทน และ เปี่ยมด้วยความหวัง !
4. ธรรมล้ำลึก
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น (มธ 13:11)
       ธรรมล้ำลึก ตรงกับคำกรีก musteria (มูสเตรีอา) ซึ่งในอาณาจักรกรีกและโรมันสมัยพระเยซูเจ้า ใช้ในความหมายของ ความลับ (secrets) มากกว่า ธรรม ล้ำลึก (mystery)
       ธรรมล้ำลึก สำหรับเราคือสิ่งที่ดำมืด ยาก และไม่มีทางเข้าใจได้
       ส่วน ความลับ คือสิ่งที่คนนอกไม่รู้ แต่คนในหรือสมาชิกรู้และเข้าใจดี ตัวอย่างเช่น พิธีบูชามิสซา ผู้ที่พบเห็นครั้งแรกอาจสงสัยว่าทำไมคนมากมายจึงมารวมกันเพียงเพื่อกินขนมปังชิ้นเล็กนิดเดียว บางคนอาจนึกขำหรือเยาะเย้ยอยู่ในใจ  ซึ่งตรงกันข้ามกับคริสตชนที่มองว่า มิสซาและศีลมหาสนิทคือสิ่งประเสริฐสุดในชีวิตของพระศาสนจักร
       จึงดูเหมือนพระองค์ต้องการจะบอกบรรดาศิษย์ว่า คนนอกไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์  แต่เพราะพวกท่านเป็นศิษย์ของเราจึงเข้าใจทุกสิ่งที่เราพูดกับท่าน
       เพราะฉะนั้นเราอาจสรุปหลักการของพระองค์ได้ว่า พระเจ้าไม่ทรงกีดกันผู้หนึ่งผู้ใดจากความรู้เรื่องอาณาจักรสวรรค์  แต่พระองค์ทรงเปิดโอกาสแก่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า และกลายเป็น คนใน ของพระศาสนจักร
       เหตุผลที่พระองค์ทรงยกมาประกอบหลักการนี้คือ เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ  ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย (มธ 13:12)
       ฟังดูเหมือนโหดร้าย แต่ชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้ !
       คนที่มีเงินทุนมาก มีความรู้สูง มีเพื่อนพ้องคอยอุปถัมภ์ ย่อมมีโอกาสลงทุนในกิจการใหญ่และได้กำไรสูง เป็นการเพิ่มเงินทุนที่มีมากอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก  ตรงกันข้าม คนที่มีเงินทุนน้อย เพื่อนก็น้อย โอกาสก็น้อย  ต่อให้ทำงานตัวเป็นเกลียวก็อาจขาดทุนจนหมดตัวได้
       หรือนักกีฬาที่เก่งและมีชื่อเสียงย่อมได้รับเชิญไปร่วมแข่งขันรายการสำคัญ  ทำให้มีโอกาสแข่งขันกับผู้มีประสบการณ์สูงกว่า พัฒนาตัวเองได้มากกว่า  ส่วนนักกีฬาที่ไม่มีชื่อเสียง โอกาสย่อมน้อย และหากหมดกำลังใจจน อ่อนซ้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตเลย
       กับความดีก็เช่นเดียวกัน หากเราชนะการประจญครั้งนี้ได้ เราย่อมหวังว่าจะชนะการประจญครั้งต่อ ๆ ไปและจะชนะในเรื่องใหญ่ ๆ ด้วย  หรือหากเราควบคุมตัวเองให้ รัก รับใช้ และช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจ  เรายิ่งมีหลักประกันว่าจะไม่พลาดโอกาสดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสตเจ้า เมื่อโอกาสนั้นผ่านมา
       ยิ่งดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเยซูเจ้ามากเท่าใด เรายิ่งซึมซับอุดมการณ์ของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  แต่หากถอยห่างจากพระองค์มากเท่าใด เรายิ่งหมดหวังทำความดีมากขึ้นเท่านั้น !
       เราจึงต้องดำเนินชีวิตเป็น คนใน ของพระองค์ให้มากขึ้น  เพื่อพระเจ้าจะประทาน ธรรมล้ำลึก เรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้เรารู้มากขึ้นและยิ่งมากขึ้นไปอีก !
5. ตรัสเป็นอุปมา
       ปัญหาของบรรดาศิษย์คือ ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมาเล่า คำตอบคือ เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา  ถึงพวกเขามองดู ก็ไม่เห็น ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ (มธ 13:13)
       แปลว่า หากพระองค์ไม่ทรงสอนเป็นคำอุปมา
พวกเขาจะนึกภาพไม่ออกและไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส
       เหตุผลนี้ง่ายและรับฟังได้ !
แต่เมื่อพระองค์ทรงยกคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ที่รับบัญชาจากพระเจ้าว่า ไปเถิด ไปบอกประชากรนี้ว่า ท่านจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ ท่านจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่รู้  จงทำให้ใจของประชากรนี้ด้านไป  ทำให้หูของเขาหนวก ทำให้ตาของเขาบอด  ตาของเขาจะไม่ได้เห็น หูของเขาจะไม่ได้ยิน ใจของเขาจะไม่เข้าใจ  เขาจะได้ไม่กลับมารับการรักษาให้หาย’” (อสย 6:9-10)  กอปรกับมาระโกได้บันทึกเรื่องราวเดียวกันไว้ว่า พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นคำอุปมา เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่าแต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังเล่าแต่ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรง          ให้อภัยเขา (มก 4:12)
       จึงดูเหมือนพระเจ้าในหนังสือประกาศกอิสยาห์และพระเยซูเจ้าในพระวรสารของนักบุญมาระโกจะทรงมีเจตนาทำให้ประชาชนมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่กลับใจ  ส่วนมัทธิวทำให้ความรับผิดชอบของพระเจ้าอ่อนลงโดยถือว่ามนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพราะ จิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง (มธ 13:15)
       เพื่อจะเข้าใจพระวาจาที่ยากที่สุดตอนหนึ่งนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุที่ทำให้ประกาศกอิสยาห์ทำนายเช่นนั้น เผื่อว่าเราจะเข้าใจพระเยซูเจ้าดีขึ้น
       1.    อิสยาห์งง  ท่านคิดว่าคำสอนของท่านชัดเจน น่าสนใจ และสำคัญที่สุด แต่ทำไมประชาชนจึงไม่เข้าใจและไม่ยอมรับ ?
              พระเยซูเจ้าก็ทรงงงเช่นกัน !
       2.    อิสยาห์สิ้นหวัง  ท่านรู้สึกว่ายิ่งสอน สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง  ไหนตัวท่านเองจะตกอยู่ในอันตราย  ไหนประชาชนจะยิ่งดำเนินชีวิตถอยห่างจากพระเจ้า
       3.    แต่เหนืออื่นใด ทั้งอิสยาห์และพระเยซูเจ้าต่าง วางใจพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดจิตใจ เพราะเป็นความเชื่อของชาวยิวอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่บังเกิดขึ้นนอกเหนือพระประสงค์ของพระเจ้า
              ทุกสิ่งล้วนอยู่ในแผนการของพระเจ้า !
              ไม่ว่ามนุษย์จะฟังหรือไม่ฟังพระองค์ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ล้วนอยู่ในแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น
              นักบุญเปาโลก็เชื่อเช่นนี้และชี้ให้เห็นว่า การที่ชาวยิวปฏิเสธและตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าส่งผลให้ ข่าวดีได้ไปสู่คนต่างศาสนา  และสักวันหนึ่งคนต่างศาสนานี่เองจะช่วยชาวยิวให้รอดพ้น (รม 9-11)
              สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความเลวร้าย กลับกลายเป็นความดีสำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่
              นี่คือแผนการของพระเจ้า !
       เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าทรงอ้างคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เพื่อให้กำลังใจบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า เรารู้ว่ามันน่าผิดหวัง เรารู้ว่าพวกท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อจิตใจของผู้คนปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง  แต่ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงมีเป้าหมาย คอยดูสิ !”
       บางครั้งเราหว่านเมล็ดพืชแล้วได้ผล  บางครั้งได้แต่ผืนดินว่างเปล่า  บางครั้งเรารู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ นอกจากความล้มเหลว
       วันนี้พระองค์ประทานกำลังใจแก่เราทุกคน...
ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนอยู่ในแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า !
       จงวางใจพระองค์เถิด...
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น