วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011

อาทิตย์ที่ 26  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 21:28-32
(28)ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด (29) บุตรตอบว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน (30) พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า ครับพ่อ แต่แล้วก็ไม่ได้ไป (31) สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ พวกเขาตอบว่า คนแรก พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน (32) เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรมท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น

      บุตรสองคนในอุปมาเป็นตัวแทนของชาวยิวสองกลุ่ม
บุตรคนแรกซึ่งตอบพ่อว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาเปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่น  (มธ 21:29) หมายถึงกลุ่มคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีซึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกหนทางเดินตามใจของตนเอง แต่หันกลับมาเลือกหนทางของ พระเจ้าในที่สุด
ส่วนบุตรคนที่สองซึ่งตอบพ่อว่า ครับพ่อ แต่แล้วก็ไม่ไปทำงาน (มธ 21:30) หมายถึงบรรดาผู้นำชาวยิวซึ่งมุ่งมั่นจะนบนอบพระเจ้า แต่เมื่อยอห์นมาชี้หนทางแห่งความชอบธรรม พวกเขากลับไม่เชื่อยอห์น
แม้ชาวยิวจะทูลตอบพระเยซูเจ้าว่าบุตรคนแรกทำตามใจพ่อ (มธ 21:31) แต่เพื่อจะเข้าใจความหมายของอุปมาเรื่องนี้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องระลึกอยู่เสมอว่าไม่มีตอนใดเลยที่พระองค์ทรงกล่าวชมเชยไม่ว่าจะเป็นลูกคนใดก็ตาม
พระองค์มิได้ชื่นชมลูกคนใด !
      ในบรรดาลูกทั้งสองคน ไม่มีคนใดเลยที่ พูด และ ทำ อย่างที่จะนำความชื่นชมยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่อ เพียงแต่ลูกคนแรกที่เปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่นเลวน้อยกว่าอีกคนหนึ่งเท่านั้น
      ส่วนลูกที่จะนำความปีติยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่ออย่างเต็มเปี่ยมก็คือ   ผู้ที่ตอบรับคำสั่งของพ่อด้วยความเคารพ และปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น
      อนึ่ง อุปมาเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า
     1.   มีคนสองกลุ่มใหญ่
            กลุ่มแรกคือพวกที่มีภาพพจน์ดีกว่าการกระทำ  คนกลุ่มนี้ชอบพูด ชอบสัญญาทุกเรื่องและทุกสิ่ง เช่น ฉันจะทำสิ่งนี้ ฉันจะให้สิ่งนั้น ฉันจะต่อต้านความเลวร้าย ฉันจะส่งเสริมความศรัทธาด้วยสิ้นสุดจิตใจ  จนกระทั่งสังคมรับรู้และให้การยอมรับอย่างสูง แต่สิ่งที่พวกเขากระทำจริงกลับหย่อนยานและเหลวแหลกโดยเฉพาะเมื่อลับตาผู้คน
            กลุ่มที่สองคือพวกที่ทำดีกว่าการรับรู้ของสังคม  คนกลุ่มนี้มักถูกสังคมตราหน้าว่าดื้อรั้น ชอบเถียงผู้ใหญ่ ทิ้งวัด ไม่ศรัทธา ไม่มีศาสนา แต่ยามลับตาคนพวกเขากลับมีจิตใจกว้างขวางดีงามและมักดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนมากกว่าคนที่ประกาศตัวเป็นคริสตชน    เสียอีก
            แน่นอนว่าเราเคยพบผู้คนทั้งสองแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มีพฤติกรรมห่างไกลจากความศรัทธาน่าเคารพที่พวกเขาพยายามแสดงออก หรือพวกที่มีพฤติกรรมดีกว่าที่ถูกสังคมตราหน้า
            แต่สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือเราจะเป็นเหมือนคนทั้งสองแบบนี้ไม่ได้  ทั้งการกระทำและการแสดงออกของเราต้องสอดคล้องกัน !
     2.  คำพูดไม่อาจทดแทนการกระทำได้
            ต่อให้พูดดีอย่างไรก็ไม่มีทางทดแทนการทำดีได้เพราะ การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด
            ลูกคนที่สองตอบพ่อด้วยความเคารพว่า ครับพ่อ (มธ 21:30) แต่คำพูดและความเคารพของเขาเป็นได้เพียงภาพลวงตาเท่านั้นเพราะเขาไม่ยอมไปทำงานในสวนองุ่น 
            หากเขาเคารพพ่อของเขาจริง เขาต้องนบนอบและปฏิบัติตามด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่มีโอกาสทำให้พ่อบังเกิดเกล้าของเขาปีติยินดี
     3.  สิ่งสำคัญคือจิตตารมณ์
            ลูกคนแรกตอบพ่อว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงานในสวนองุ่น (มธ 21:29)
            แม้จะลงเอยด้วยกิจการดีก็จริง แต่คุณค่าของสิ่งที่เขากระทำได้ถูกทำลายไปแล้วโดยจิตตารมณ์ที่แสดงออกทางคำพูดขณะตอบพ่อของเขาในตอนแรกว่า ลูกไม่อยากไป นั่นเอง !
            เช่นเดียวกัน หากเราทำกิจการดีโดยปราศจากจิตตารมณ์แห่งความรัก ความเมตตากรุณา และการรับใช้  เรากำลังทำให้กิจการดีของเราด้อยค่าลงไปถนัดใจ
            จิตตารมณ์หรือเจตนารมณ์ในการทำงานและดำเนินชีวิตจึงมีความสำคัญยิ่งนัก !
            นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำดีกว่าพูด !
            และ จิตตารมณ์สำคัญกว่าผลงาน !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ประชาสัมพันธ์
1.   เชิญชวนพี่น้องร่วมภาวนาเพื่อผู้ประสบอุทกภัย และช่วยบรรเทาทุกข์ด้วยการบริจาคทรัพย์ตามกำลังความสามารถ โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย สาขาโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ชื่อบัญชี  มิสซังโรมันคาทอลิก กรุงเทพฯ เลขบัญชี 186-2-01470-9  ส่ง FAX เอกสารการโอน แจ้งว่าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (หมายเลข FAX 02-237-1033)   หรือบริจาคได้ที่..กล่องรับบริจาคที่หน้าวัด
2.   สวดสายประคำ : เดือนตุลาคม ( 1-31 ) 300,000 สาย    ติดต่อได้ที่สภาภิบาล คาทอลิกไทยพร้อมเพรียง ไม่สิ้นเสียงสายประคำ  งานชุมนุมคริสตชน เขต 2  เพื่อเทิดพระเกียรติ พระแม่มารีย์ ผ่านการสวดสายประคำ วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2011  เวลา 8.00-13.00 น.  ณ วัดแม่พระฟาติมา ดินแดง      ดูรายละเอียดได้ที่บอร์ดหน้าวัด
3.  ระลึกถึงในคำภาวนา เซซีลีอา โสภา ธีรวัฒนมนตรี  ครบ 3 ปี      (28 ก.ย.)
4.   ตรวจสุขภาพ   วัดความดันโลหิต น้ำตาลและไขมันในเลือด
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2011



5.  ประกาศแต่งงาน  คู่ที่ 1 ฝ่ายชาย Mr. Matthew David White    (ล้างบาปที่ออสเตรเลีย)  บุตร Mr. Robin White and Mrs. Ilka White     ฝ่ายหญิง นางสาว พชรวรรณ  วัฒนโรจนกิจ  บุตรี นายเทียนชัย และ  นางพิณทิพย์ วัฒนโรจนกิจ สมรสวันศุกร์ที่ 7 ต.ค. 2011 เวลา 11.00 น. 
    คู่ที่ 2  ฝ่ายชาย  นายอมร กิจเครือ        บุตร นายมงคล และ นางเดือนฉาย กิจเครือ     ฝ่ายหญิง จูเลีย จูเลีย วู  (ล้างบาปที่วัดเซนต์จอห์น) บุตรี  Mr. Daniel Woo and Mrs. Sophia Woo สมรสวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 2011 เวลา 11.00 น.
    คู่ที่ 3  ฝ่ายชาย  นาซารีโอ บัณฑิต สุขสถาน (ล้างบาปที่วัด          
เซนต์จอห์น)      บุตร  พออ. บำรุง  และ มารีอา ประภาศรี สุขสถาน  ฝ่ายหญิง นางสาว อริศรา อายุศะนิล บุตรี นายปรีชา และนางสุภาภรณ์ อายุศะนิล  สมรสวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 2011 เวลา 14.00 น.
    คู่ที่ 4  ฝ่ายชาย   เบเนดิกโต ธานินทร์ สังขรัตน์ (ล้างบาปที่วัด         
แม่พระประจักษ์ สองพี่น้อง) บุตร  ซีลีเอากุส อารมณ์  และ มารีอา ไพฑูรย์ สังขรัตน์  ฝ่ายหญิง นางสาว มธุสร พิพิธกุล บุตรี นายสุวรรณ และนางละม่อม     พิพิธกุล  สมรสวันเสาร์ที่ 22 ต.ค. 2011 เวลา 10.00 น.
    คู่ที่ 5  ฝ่ายชาย  นายสมบูรณ์ เพ็ชรนารถ   บุตร นายสมมี และ นางบุญสม  เพ็ชรนารถ  ฝ่ายหญิง มารีอา ปริศนา รอนราน (ล้างบาปที่วัดนักบุญลูกา บางขาม)  บุตรี นายปรีชา รอนราน และนางสาวประมวล ทองสุก  สมรสวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. 2011 เวลา 15.00 น.
       ถ้าผู้ใดทราบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อขัดขวางมิให้สมรสได้ ต้องแจ้งให้พระสงฆ์เจ้าอาวาสทราบ

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2011

อาทิตย์ที่ 25  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 20:1-16
(1)อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่  เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น  (2)ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น  (3)ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน  (4)จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร  (5)คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน  (6)ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่น ๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร เขาตอบว่า เพราะไม่มีใครมาจ้าง พ่อบ้านจึงพูดว่า จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด   (8) ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก  (9)เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ  (10)เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน  (11)ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า  (12)พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน  (13)เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ  (14)จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน  (15)ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ   (16)ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย
ยกเว้นวิธีการจ่ายค่าจ้างแล้ว รายละเอียดในนิทานเปรียบเทียบล้วนเป็นเรื่องจริงที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของชาวยิว
ประมาณปลายเดือนกันยายนผลองุ่นจะสุกพร้อมให้เก็บเกี่ยวซึ่งต้องกระทำแข่งกับเวลา หาไม่แล้วจะถูกฝนเดือนตุลาฯ ทำลายจนไม่มีอะไรเหลือให้เก็บ  ตลอดช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ เจ้าของสวนต้องการคนงานทุกคนแม้ทำได้ชั่วโมงเดียวก็เอา
ค่าจ้างหนึ่งเหรียญในสมัยนั้น เพียงพอแค่ประทังชีวิตสมาชิกครอบครัวขนาดเล็กหนึ่งวันเท่านั้น ไม่มีเหลือเก็บไว้ใช้ยามเจ็บป่วยหรือตกงานเลย
ลูกจ้างรายวันจึงมีสถานภาพทางเศรษฐกิจย่ำแย่กว่าทาสเสียอีก เพราะทาสยังมีสังกัด โชคชะตาของพวกเขาย่อมขึ้นกับโชคชะตาของครอบครัวที่เขาอาศัยอยู่ ซึ่งในยามปกติแล้วคงยากที่จะอดตาย  แตกต่างจากบรรดาลูกจ้างรายวันซึ่งโชคชะตาอิงอยู่กับโอกาสได้งานทำ  วันใดไม่มีคนจ้างงานวันนั้นย่อมเป็นหายนะของพวกเขาโดยแท้ เพราะนั่นหมายถึงลูกและภรรยาที่บ้านจะไม่มีอะไรกิน  ชีวิตของพวกเขาจึงแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่แบ่งระหว่างการมีชีวิตอยู่รอดกับการอดตายจริงๆ
คนงานที่รอจนถึงห้าโมงเย็นคือเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาต้องการงานทำเพื่อความอยู่รอดของชีวิตมากสักเพียงใด !
นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้บรรจุคำสอนอันเป็นหัวใจของศาสนาคริสต์  ขอเริ่มจากคำสอนที่มีเป้าหมายเฉพาะกลุ่มในสมัยพระเยซูเจ้า ไล่เรียงไปสู่คำสอนที่เป็นสากลสำหรับเราทุกคน
1.    พระเยซูเจ้าทรงเตือนบรรดาอัครสาวก  พระองค์ทรงปรารถนาจะสอนพวกเขาว่า พวกท่านได้รับอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรก่อนผู้อื่นก็จริง แต่พวกท่านจะอ้างสิทธิพิเศษเหนือสมาชิกที่มาภายหลังไม่ได้  เพราะไม่ว่าใครจะเข้าหาพระเจ้าเมื่อใด ล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระองค์
       น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ ยังมีสัตบุรุษบางคนซึ่งเป็นลูกวัดเก่าแก่และเคยมีบทบาทสำคัญจนหลงคิดว่าวัดนี้เป็นของตนและตนมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น  พวกเขายอมรับพระสงฆ์ที่มาใหม่หรือลูกวัดสายพันธุ์ใหม่ที่คิดต่างไปจากตนไม่ได้  ขอให้สัตบุรุษกลุ่มนี้ระลึกอยู่เสมอว่า ตามความคิดของพระเยซูเจ้า อาวุโสไม่ได้หมายถึงการมีเกียรติหรือมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นเสมอไป
2.    พระเยซูเจ้าทรงเตือนชาวยิว  พวกเขาทะนงตนว่าเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร จึงรังเกียจและดูหมิ่นดูแคลนคนต่างศาสนา  บางคนถึงกับแช่งให้คนต่างศาสนาถูกทำลายไปก็มี
       โชคร้ายที่ทัศนคติเช่นนี้ได้สืบทอดต่อมาในพระศาสนจักรของเรา แม้แต่คนต่างศาสนาที่กลับใจเป็นคริสตชนแล้วก็ยังไม่วายถูกดูแคลนว่าเป็นเสมือน คริสตังค์ชั้นสอง ?
       อย่าลืมว่าตามแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า ไม่มีชนชาติใดอยู่เหนือชนชาติอื่น และไม่มีคริสตชนคนใดมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นแม้เขาจะล้างบาปก่อนก็ตาม
       เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คริสตังค์ใหม่หลายคนดีกว่าคริสตังค์เก่าเสียอีก !
3.    พระเจ้าคือองค์ความบรรเทา  ไม่ว่าเราจะล้างบาป กลับใจ หรือศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างลึกซึ้งตั้งแต่วัยเด็ก หรือเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน หรือแม้ในยามบั้นปลายของชีวิตก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงรักเราเท่ากันเสมอ !
       บางคนอาจเสียชีวิตยามแก่เฒ่าพร้อมกับทิ้งผลงานอันมีค่าไว้มากมาย  ในขณะที่บางคนอาจเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัยโดยยังไม่มีผลงานหรือความสำเร็จใดในชีวิตเลย กระนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงต้อนรับทุกคนที่รักพระองค์ทัดเทียมกันหมด
       นี่คือความหวังและความบรรเทาใจสำหรับเรา คนบาป โดยแท้ !
4.    พระเจ้าคือองค์ความเมตตา  ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่าลูกจ้างรายวันไม่มีงานทำ  พวกเขาเฝ้ารออยู่ที่ลานของหมู่บ้านจนเกือบค่ำมืดเพราะไม่มีใครจ้างงานพวกเขา แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาไม่อาจทนเห็นพวกเขาว่างงานได้
       ยิ่งไปกว่านั้น หากยึดเอาความยุติธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นที่ตั้ง ผู้ที่ทำงานน้อยชั่วโมงกว่าควรได้รับค่าจ้างน้อยกว่า  แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ดีว่าลำพัง
ค่าแรงงานหนึ่งวันก็แทบไม่พอยาไส้สมาชิกในครอบครัวอยู่แล้ว  หากคนงานรับค่าจ้างน้อยไปกว่านี้ พวกเขาต้องอดอยากและหิวโหยเป็นแน่  พระองค์จึงทรงเมตตาก้าวไปไกลกว่าข้อเรียกร้องของความยุติธรรม และทรงประทานค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาสมควรจะได้รับ
      ทั้งหมดนี้นำมาสู่หลักการอันยิ่งใหญ่ที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะทำงานและได้รับค่าจ้างเพื่อยังชีพจากผลงานของเขา
5.    พระเจ้าทรงพระทัยดี  ในนิทานเปรียบเทียบ ไม่มีการระบุว่าคนงานแต่ละคนทำงานเหมือนกันหรือเท่ากัน แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาได้รับค่าตอบแทนเดียวกัน
       นี่คือเครื่องยืนยันว่า ไม่ว่าเราจะรับใช้พระเจ้าในฐานะสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาส และไม่ว่าเราจะมีผลงานมากน้อยเพียงใด  พระองค์ทรงตอบแทนทุกคนด้วยน้ำพระทัยดีและกว้างขวางของพระองค์เอง
       สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานแก่เราจึงมิใช่ ค่าจ้าง แต่เป็น ของประทาน
       ไม่ใช่ รางวัล แต่เป็น พระหรรษทาน
6.    พระเจ้าทรงสนพระทัย เจตนารมณ์ ในการทำงานเหนือสิ่งอื่นใด  เราสามารถแบ่งคนงานในนิทานเปรียบเทียบออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน
       กลุ่มแรกมีการทำข้อตกลงกันดังเช่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น และ จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร (มธ 20:2,4,5)
              ความสนใจของคนงานกลุ่มแรกคือ ทำอย่างไรจึงจะได้ค่าตอบแทนสูงสุด
              ส่วนกลุ่มที่สองไม่มีข้อตกลงใดนอกจากคำเชิญชวนของนายจ้างที่ว่า จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด (มธ 20:7)
              สิ่งที่คนงานกลุ่มที่สองต้องการคือโอกาสทำงาน ส่วนค่าตอบแทนนั้นขึ้นอยู่กับความเมตตาของนายจ้าง
              เราคริสตชนต้องเลียนแบบคนงานกลุ่มที่สอง เพราะหากเราให้ความสนใจกับค่าตอบแทนหรือรางวัลเป็นอันดับแรก โลกจะหยิบยื่นรางวัลและค่าตอบแทนมากมายให้แก่เรา แต่เราจะอยู่อันดับสุดท้ายในโลกหน้า
              ตรงกันข้าม หากเราไม่สนใจรางวัลหรือค่าตอบแทน แต่ทำงานเพราะสุขใจและดีใจที่ได้รับใช้ผู้อื่น โลกอาจเห็นเราต่ำต้อยและอยู่อันดับท้ายๆ  แต่เราจะกลับเป็นที่ต้นในสวรรค์
              เรื่อง รางวัล นี้ดูเหมือนจะตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคำสอนเรื่อง การภาวนา ที่ว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน (มธ 7:7) เพราะ....
            ผู้ใดแสวงหารางวัล จะไม่ได้รับ 
 ผู้ใดไม่คิดถึงรางวัล จะได้รางวัล” !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ประชาสัมพันธ์
1.   โบว์ลิ่งการกุศล ครั้งที่ 6  รวมพลัง ปันน้ำใจ ให้ครอบครัว    จัดโดย แผนกส่งเสริมชีวิตครอบครัว อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ      วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 เวลา 09.30-14.00 น. ค่าสมัครทีมละ 3,000 บาท  ติดต่อได้ที่ คุณสุทัศน์ มาลานิยม โทร.089-784-8803, คุณอนุรักษ์-คุณดารารัตน์ มีนนานนท์ โทร.081-407-4536
2.   ระลึกถึงในคำภาวนา ซูซาน สุนา พจน์ปฏิญญา ครบ 2 ปี  (21 ก.ย.)
3.  สวดสายประคำ : เดือนตุลาคม ( 1-31 ) 300,000 สาย    ติดต่อได้ที่สภาภิบาล คาทอลิกไทยพร้อมเพรียง ไม่สิ้นเสียงสายประคำ  งานชุมนุมคริสตชน เขต 2  เพื่อเทิดพระเกียรติ พระแม่มารีย์ ผ่านการสวดสายประคำ วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2011  เวลา 8.00-13.00 น.  ณ วัดแม่พระฟาติมา ดินแดง ดูรายละเอียดได้ที่บอร์ดหน้าวัด  
4.   ประกาศแต่งงาน   คู่ที่ 1 ฝ่ายชาย Mr. Matthew David White    (ล้างบาปที่ออสเตรเลีย)  บุตร Mr. Robin White and Mrs. Ilka White     ฝ่ายหญิง นางสาว พชรวรรณ  วัฒนโรจนกิจ  บุตรี นายเทียนชัย และ  นางพิณทิพย์ วัฒนโรจนกิจ สมรสวันศุกร์ที่ 7 ต.ค. 2011 เวลา 11.00 น. 
    คู่ที่ 2  ฝ่ายชาย  นายอมร กิจเครือ        บุตร นายมงคล และ นางเดือนฉาย กิจเครือ     ฝ่ายหญิง จูเลีย จูเลีย วู  (ล้างบาปที่วัดเซนต์จอห์น) บุตรี  Mr. Daniel Woo and Mrs. Sophia Woo สมรสวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 2011 เวลา 11.00 น.
    คู่ที่ 3  ฝ่ายชาย  นาซารีโอ บัณฑิต สุขสถาน (ล้างบาปที่วัด   เซนต์จอห์น)  บุตร  พออ. บำรุง  และ มารีอา ประภาศรี สุขสถาน  ฝ่ายหญิง นางสาว อริศรา อายุศะนิล บุตรี นายปรีชา และนางสุภาภรณ์ อายุศะนิล  สมรสวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 2011 เวลา 14.00 น.
       ถ้าผู้ใดทราบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อขัดขวางมิให้สมรสได้ ต้องแจ้งให้พระสงฆ์เจ้าอาวาสทราบ

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2011

อาทิตย์ที่ 24  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 18:21-35
การให้อภัยความผิด
(21)เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่ (22) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง
(23)อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้  (24)ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท  (25)เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้  (26)ผู้รับใช้กราบ     พระบาททูลอ้อนวอนว่า ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด (27) กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ (28) ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น    พูดว่า เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด      (29) เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้  (30)แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด  (31)เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์(32)พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง  (33)เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ  (34)กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น  (35)พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง
      วันนี้เราเป็นหนี้บุญคุณเปโตรสำหรับความปากไวของท่าน  หลายครั้งหลายหนที่ความผลีผลามของท่านนำไปสู่คำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า

      ท่านถามพระองค์ว่า พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง พร้อมกับตอบคำถามเองโดยเสนอว่า ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่
      อันที่จริงข้อเสนอ เจ็ดครั้ง ของเปโตรไม่ใช่ไม่มีที่มา  พวกรับบีสอนว่าเราต้องยกโทษให้พี่น้องสามครั้ง ตัวอย่างเช่น รับบีโยเซ่บุตรของฮานีนา และรับบีโยเซ่บุตรของเยฮูดา สอนเหมือนกันว่า ผู้ที่ร้องขอการอภัยจากพี่น้อง สามารถทำได้ไม่เกินสามครั้ง
      เหตุผลของพวกรับบีได้มาจากคำสอนของประกาศกอามอสที่ว่า การละเมิดของดามัสกัส (กาซา, เมืองไทระ, เมืองเอโดม, คนอัมโมน....) สามครั้ง และสี่ครั้งเราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ (อมส 1:3,6,9,11,13; 2:1,4,6)  ความหมายคือในเมื่อพระเจ้ายังยกโทษให้เพียงสามครั้ง หากถึงครั้งที่สี่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อลงโทษคนบาป  มนุษย์จะใจดีกว่าพระเจ้าได้หรือ  การให้อภัยจึงถูกจำกัดอยู่เพียงสามครั้ง
      ตัวเลขที่เปโตรเสนอนั้นเป็นสองเท่าของพวกรับบี แถมยังเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้อีกหนึ่งครั้งรวมเป็นเจ็ดครั้งด้วยกัน  เปโตรคิดว่าข้อเสนอนี้เหนือชั้นกว่าของพวกรับบีมากและคาดหวังว่าจะได้รับคำชมเชยจากพระเยซูเจ้า
      แต่พระองค์กลับตอบว่า เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง  ซึ่งหมายความว่าการยกโทษนั้นไม่อาจนับครั้งได้ และต้องไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น
      พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเกี่ยวกับผู้รับใช้ที่ได้รับการยกหนี้จำนวนมหาศาล แต่กลับไร้เมตตาต่อเพื่อนผู้รับใช้ซึ่งติดหนี้เพียงเล็กน้อย  นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ตอกย้ำคำสอนของพระองค์ที่ว่า
     1.   เราจำเป็นต้องให้อภัยเพื่อจะได้รับการอภัย        ความคิดนี้มีอยู่ทั่วไปในพระ-ธรรมใหม่  พระเยซูเจ้าเองทรงตรัสว่า ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา (มธ 5:7)  และหลังจากสอนบทสวดข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายแล้ว พระองค์ทรงกำชับทันทีว่า ถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน (มธ 6:14-15)
            นักบุญยากอบก็สอนว่า ผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์  จะถูกพิพากษาโดยปราศจากความเมตตากรุณาเช่นเดียวกัน  ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณาจะไม่เกรงกลัวการพิพากษา (ยก 2:13)
     2.  สิ่งที่เราให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์เทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่เรา
            ในนิทานเปรียบเทียบ ผู้รับใช้เป็นหนี้กษัตริย์ 10,000 ตาแลนต์ ในขณะที่งบประมาณรายรับของแคว้นกาลิลีทั้งแคว้นตกปีละ 300 ตาแลนต์เท่านั้น  เท่ากับว่าจำนวนหนี้ของผู้รับใช้นั้นมีมากกว่าที่กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งจะจ่ายคืนได้เสียอีก !
            ส่วนหนี้ของเพื่อนผู้รับใช้มีเพียง 100 เหรียญ น้อยกว่าหนี้ที่กษัตริย์ยกให้ถึงห้าแสนเท่า !
            ฟังดูเหมือนเวอร์ !
            แต่หนี้ที่พระเจ้ายกให้แก่เรานั้นมันมากกว่า 10,000 ตาแลนต์มากนัก เพราะบาปของเราทำให้บุตรแต่เพียงองค์เดียวของ   พระเจ้าต้องสิ้นพระชนม์
      ชีวิตของบุตรพระเจ้าจะมีมนุษย์หน้าไหนชดใช้ไหว ?
     ก็ในเมื่อพระองค์ยังให้อภัยเราได้   เราจะให้อภัยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้เชียวหรือ ?
          ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องหวังเมตตาจากพระเจ้า !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)