อาทิตย์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 21:28-32
(28)“ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” (29) บุตรตอบว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน (30) พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไป (31) สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน (32) เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรมท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น
บุตรสองคนในอุปมาเป็นตัวแทนของชาวยิวสองกลุ่ม
บุตรคนแรกซึ่งตอบพ่อว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาเปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่น (มธ 21:29) หมายถึงกลุ่มคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีซึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกหนทางเดินตามใจของตนเอง แต่หันกลับมาเลือกหนทางของ พระเจ้าในที่สุด
ส่วนบุตรคนที่สองซึ่งตอบพ่อว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ไปทำงาน (มธ 21:30) หมายถึงบรรดาผู้นำชาวยิวซึ่งมุ่งมั่นจะนบนอบพระเจ้า แต่เมื่อยอห์นมาชี้หนทางแห่งความชอบธรรม พวกเขากลับไม่เชื่อยอห์น
แม้ชาวยิวจะทูลตอบพระเยซูเจ้าว่าบุตรคนแรกทำตามใจพ่อ (มธ 21:31) แต่เพื่อจะเข้าใจความหมายของอุปมาเรื่องนี้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องระลึกอยู่เสมอว่าไม่มีตอนใดเลยที่พระองค์ทรงกล่าวชมเชยไม่ว่าจะเป็นลูกคนใดก็ตาม
“พระองค์มิได้ชื่นชมลูกคนใด” !
ในบรรดาลูกทั้งสองคน ไม่มีคนใดเลยที่ “พูด” และ “ทำ” อย่างที่จะนำความชื่นชมยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่อ เพียงแต่ลูกคนแรกที่เปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่นเลวน้อยกว่าอีกคนหนึ่งเท่านั้น
ส่วนลูกที่จะนำความปีติยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่ออย่างเต็มเปี่ยมก็คือ ผู้ที่ตอบรับคำสั่งของพ่อด้วยความเคารพ และปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น
อนึ่ง อุปมาเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า
1. มีคนสองกลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกคือพวกที่มีภาพพจน์ดีกว่าการกระทำ คนกลุ่มนี้ชอบพูด ชอบสัญญาทุกเรื่องและทุกสิ่ง เช่น “ฉันจะทำสิ่งนี้ ฉันจะให้สิ่งนั้น ฉันจะต่อต้านความเลวร้าย ฉันจะส่งเสริมความศรัทธาด้วยสิ้นสุดจิตใจ” จนกระทั่งสังคมรับรู้และให้การยอมรับอย่างสูง แต่สิ่งที่พวกเขากระทำจริงกลับหย่อนยานและเหลวแหลกโดยเฉพาะเมื่อลับตาผู้คน
กลุ่มที่สองคือพวกที่ทำดีกว่าการรับรู้ของสังคม คนกลุ่มนี้มักถูกสังคมตราหน้าว่าดื้อรั้น ชอบเถียงผู้ใหญ่ ทิ้งวัด ไม่ศรัทธา ไม่มีศาสนา แต่ยามลับตาคนพวกเขากลับมีจิตใจกว้างขวางดีงามและมักดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนมากกว่าคนที่ประกาศตัวเป็นคริสตชน เสียอีก
แน่นอนว่าเราเคยพบผู้คนทั้งสองแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มีพฤติกรรมห่างไกลจากความศรัทธาน่าเคารพที่พวกเขาพยายามแสดงออก หรือพวกที่มีพฤติกรรมดีกว่าที่ถูกสังคมตราหน้า
แต่สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือเราจะเป็นเหมือนคนทั้งสองแบบนี้ไม่ได้ ทั้งการกระทำและการแสดงออกของเราต้องสอดคล้องกัน !
2. คำพูดไม่อาจทดแทนการกระทำได้
ต่อให้พูดดีอย่างไรก็ไม่มีทางทดแทนการทำดีได้เพราะ “การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด”
ลูกคนที่สองตอบพ่อด้วยความเคารพว่า “ครับพ่อ” (มธ 21:30) แต่คำพูดและความเคารพของเขาเป็นได้เพียงภาพลวงตาเท่านั้นเพราะเขาไม่ยอมไปทำงานในสวนองุ่น
หากเขาเคารพพ่อของเขาจริง เขาต้องนบนอบและปฏิบัติตามด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่มีโอกาสทำให้พ่อบังเกิดเกล้าของเขาปีติยินดี
3. สิ่งสำคัญคือจิตตารมณ์
ลูกคนแรกตอบพ่อว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงานในสวนองุ่น (มธ 21:29)
แม้จะลงเอยด้วยกิจการดีก็จริง แต่คุณค่าของสิ่งที่เขากระทำได้ถูกทำลายไปแล้วโดยจิตตารมณ์ที่แสดงออกทางคำพูดขณะตอบพ่อของเขาในตอนแรกว่า “ลูกไม่อยากไป” นั่นเอง !
เช่นเดียวกัน หากเราทำกิจการดีโดยปราศจากจิตตารมณ์แห่งความรัก ความเมตตากรุณา และการรับใช้ เรากำลังทำให้กิจการดีของเราด้อยค่าลงไปถนัดใจ
จิตตารมณ์หรือเจตนารมณ์ในการทำงานและดำเนินชีวิตจึงมีความสำคัญยิ่งนัก !
นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ทำดีกว่าพูด” !
และ “จิตตารมณ์สำคัญกว่าผลงาน” !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)