วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011

อาทิตย์ที่ 26  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 21:28-32
(28)ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด (29) บุตรตอบว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน (30) พ่อจึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า ครับพ่อ แต่แล้วก็ไม่ได้ไป (31) สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ พวกเขาตอบว่า คนแรก พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน (32) เพราะยอห์นได้มาพบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรมท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น

      บุตรสองคนในอุปมาเป็นตัวแทนของชาวยิวสองกลุ่ม
บุตรคนแรกซึ่งตอบพ่อว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาเปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่น  (มธ 21:29) หมายถึงกลุ่มคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีซึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกหนทางเดินตามใจของตนเอง แต่หันกลับมาเลือกหนทางของ พระเจ้าในที่สุด
ส่วนบุตรคนที่สองซึ่งตอบพ่อว่า ครับพ่อ แต่แล้วก็ไม่ไปทำงาน (มธ 21:30) หมายถึงบรรดาผู้นำชาวยิวซึ่งมุ่งมั่นจะนบนอบพระเจ้า แต่เมื่อยอห์นมาชี้หนทางแห่งความชอบธรรม พวกเขากลับไม่เชื่อยอห์น
แม้ชาวยิวจะทูลตอบพระเยซูเจ้าว่าบุตรคนแรกทำตามใจพ่อ (มธ 21:31) แต่เพื่อจะเข้าใจความหมายของอุปมาเรื่องนี้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องระลึกอยู่เสมอว่าไม่มีตอนใดเลยที่พระองค์ทรงกล่าวชมเชยไม่ว่าจะเป็นลูกคนใดก็ตาม
พระองค์มิได้ชื่นชมลูกคนใด !
      ในบรรดาลูกทั้งสองคน ไม่มีคนใดเลยที่ พูด และ ทำ อย่างที่จะนำความชื่นชมยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่อ เพียงแต่ลูกคนแรกที่เปลี่ยนใจไปทำงานในสวนองุ่นเลวน้อยกว่าอีกคนหนึ่งเท่านั้น
      ส่วนลูกที่จะนำความปีติยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่ออย่างเต็มเปี่ยมก็คือ   ผู้ที่ตอบรับคำสั่งของพ่อด้วยความเคารพ และปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น
      อนึ่ง อุปมาเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า
     1.   มีคนสองกลุ่มใหญ่
            กลุ่มแรกคือพวกที่มีภาพพจน์ดีกว่าการกระทำ  คนกลุ่มนี้ชอบพูด ชอบสัญญาทุกเรื่องและทุกสิ่ง เช่น ฉันจะทำสิ่งนี้ ฉันจะให้สิ่งนั้น ฉันจะต่อต้านความเลวร้าย ฉันจะส่งเสริมความศรัทธาด้วยสิ้นสุดจิตใจ  จนกระทั่งสังคมรับรู้และให้การยอมรับอย่างสูง แต่สิ่งที่พวกเขากระทำจริงกลับหย่อนยานและเหลวแหลกโดยเฉพาะเมื่อลับตาผู้คน
            กลุ่มที่สองคือพวกที่ทำดีกว่าการรับรู้ของสังคม  คนกลุ่มนี้มักถูกสังคมตราหน้าว่าดื้อรั้น ชอบเถียงผู้ใหญ่ ทิ้งวัด ไม่ศรัทธา ไม่มีศาสนา แต่ยามลับตาคนพวกเขากลับมีจิตใจกว้างขวางดีงามและมักดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนมากกว่าคนที่ประกาศตัวเป็นคริสตชน    เสียอีก
            แน่นอนว่าเราเคยพบผู้คนทั้งสองแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มีพฤติกรรมห่างไกลจากความศรัทธาน่าเคารพที่พวกเขาพยายามแสดงออก หรือพวกที่มีพฤติกรรมดีกว่าที่ถูกสังคมตราหน้า
            แต่สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอคือเราจะเป็นเหมือนคนทั้งสองแบบนี้ไม่ได้  ทั้งการกระทำและการแสดงออกของเราต้องสอดคล้องกัน !
     2.  คำพูดไม่อาจทดแทนการกระทำได้
            ต่อให้พูดดีอย่างไรก็ไม่มีทางทดแทนการทำดีได้เพราะ การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด
            ลูกคนที่สองตอบพ่อด้วยความเคารพว่า ครับพ่อ (มธ 21:30) แต่คำพูดและความเคารพของเขาเป็นได้เพียงภาพลวงตาเท่านั้นเพราะเขาไม่ยอมไปทำงานในสวนองุ่น 
            หากเขาเคารพพ่อของเขาจริง เขาต้องนบนอบและปฏิบัติตามด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่มีโอกาสทำให้พ่อบังเกิดเกล้าของเขาปีติยินดี
     3.  สิ่งสำคัญคือจิตตารมณ์
            ลูกคนแรกตอบพ่อว่า ลูกไม่อยากไป แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงานในสวนองุ่น (มธ 21:29)
            แม้จะลงเอยด้วยกิจการดีก็จริง แต่คุณค่าของสิ่งที่เขากระทำได้ถูกทำลายไปแล้วโดยจิตตารมณ์ที่แสดงออกทางคำพูดขณะตอบพ่อของเขาในตอนแรกว่า ลูกไม่อยากไป นั่นเอง !
            เช่นเดียวกัน หากเราทำกิจการดีโดยปราศจากจิตตารมณ์แห่งความรัก ความเมตตากรุณา และการรับใช้  เรากำลังทำให้กิจการดีของเราด้อยค่าลงไปถนัดใจ
            จิตตารมณ์หรือเจตนารมณ์ในการทำงานและดำเนินชีวิตจึงมีความสำคัญยิ่งนัก !
            นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำดีกว่าพูด !
            และ จิตตารมณ์สำคัญกว่าผลงาน !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น