อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 16:21-27
(21)ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม (22)เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” (23) แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
(24)พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา (25) ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร (26) มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา (27) บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา
1. เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง
แม้เปโตรจะประกาศที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปว่า “พระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 16:16) แต่ “พระคริสตเจ้า” ตามความคิดของเปโตรนั้นแตกต่างจากพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง
“พระคริสตเจ้า” (จากภาษากรีก) หรือ “พระเมสสิยาห์” (จากภาษาฮีบรู) ตามความคิดของเปโตร คือกษัตริย์นักรบที่พระเจ้าทรงส่งมานำกองทัพยิวขับไล่ชาวโรมันออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์ และนำพาชนชาติยิวให้กลับมามีอำนาจรุ่งเรืองเหนือชนชาติอื่น
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่าพระเมสสิยาห์ “จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะ และธรรมาจารย์ และจะถูกประหารชีวิต” (มธ 16:21) เปโตรจึงยอมรับไม่ได้ และไวเท่าความคิด ท่านพาพระองค์ออกไปพร้อมกับทูลคัดค้านว่า “เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” (มธ 16:22)
แล้วคำตำหนิอันหนักหน่วงชนิดที่ใครได้ฟังแล้วเป็นต้องหายใจไม่ทั่วท้องก็ตามมาทันที “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง” (มธ 16:23)
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดหรือแววตาแดงก่ำด้วยความโกรธ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงตำหนิเปโตรด้วยความปวดร้าว โศกเศร้า และตระหนกจนตัวสั่น
เพราะการประจญที่เคยหลอกหลอนพระองค์ในถิ่นทุรกันดารก่อนเริ่มต้นภารกิจนั้น ได้หวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ปีศาจรู้จุดอ่อนของทุกคนดีว่าไม่มีใครอยากตายอย่างเจ็บปวดทรมานบนไม้กางเขน มันจึงพยายามล่อลวงพระองค์ให้เลือกวิธีที่สบายกว่าในการกอบกู้มนุษยชาติ (ดู มธ 4:1-11)
- “จงใช้ฤทธิ์อำนาจที่มีดลบันดาลขนมปังแจกผู้คนสิ แล้วพวกเขาจะติดตามพระองค์”
- “จงแสดงอภินิหารด้วยการกระโดดจากที่สูง เมื่อประชาชนพิศวง พวกเขาก็จะเชื่อฟังพระองค์เองแหละ”
- “จงยอมก้มหัวให้เราบ้างสิ อย่าเคร่งครัดนัก หัดเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ดูบ้าง คนเขาจะได้ติดตามพระองค์ง่ายหน่อย”
แม้ก่อนถูกจับในสวนเกทเสมนีเพียงไม่กี่นาที มันก็ยังไม่เลิกล่อลวงพระองค์ “ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด” (มธ 26:39)
แต่ครั้งนี้ปีศาจมันโหดร้ายสุด ๆ !
มันใช้เปโตรผู้เป็นศิษย์เอกของพระองค์เองให้ล่อลวงพระองค์ !!
ปีศาจตรงกับภาษาฮีบรู “ซาตาน” ซึ่งแปลว่า “ปรปักษ์” มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้มนุษย์หันเหจากหนทางของพระเจ้าและกลายเป็นปรปักษ์กับพระองค์
เปโตรถูกปีศาจทำให้เป็น “ซาตาน” ผู้เป็นปรปักษ์กับพระองค์ จนพระองค์ต้องตรัสว่า “เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” (มธ 16:23)
และนี่คือสาเหตุที่ทำให้พระองค์ตื่นตระหนกและปวดร้าวหัวใจมากที่สุด เพราะซาตานที่มาล่อลวงพระองค์คือผู้ซึ่งรักพระองค์มากที่สุด
แต่ “ความรักแท้” ย่อมส่งเสริม “คนรัก” ให้อยู่ในหนทางของพระเจ้า ไม่ใช่พยายามลากพระองค์ออกไปจากพระเจ้าดังที่เปโตรได้กระทำ !
ความรักแท้ย่อมไม่หน่วงเหนี่ยวอัศวินให้อยู่กับบ้าน แต่ย่อมปล่อยเขาออกไปผจญภัยเพื่อชัยชนะและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
ความรักที่ปกป้องคนรักจากการเป็นทหารหาญของพระคริสตเจ้า หรือจากการดำเนินชีวิตตามหนทางของพระองค์จึงไม่ใช่ “รักแท้”
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกดุว่าเป็นซาตาน แต่คำสั่งที่พระองค์ทรงใช้ “ขับไล่” เปโตรก็ยังแฝงไปด้วยคำเชิญชวนและการให้โอกาสกลับมาติดตามพระองค์
พระองค์ทรงขับไล่ปีศาจที่ล่อลวงพระองค์ในถิ่นทุรกันดารว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น” (มธ 4:10) ซึ่งตรงกับภาษากรีก “Hupage Satana” (ฮูพาเก ซาตานา)
แต่กับเปโตร พระองค์ตรัสสั่งว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง” (มธ 16:23) ภาษากรีกคือ “Hupage opiso mou, Satana” (ฮูพาเก โอพีโซ มู, ซาตานา)
แม้จะใช้คำสั่ง “ฮูพาเก” เหมือนกัน แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ “โอพีโซ มู” ซึ่งแปลว่า “ข้างหลังฉัน”
หมายความว่า พระองค์ทรงขับไล่ปีศาจให้ “ไปแล้ว
ไปลับ” แต่กับเปโตรไม่ใช่ไปแล้วไปลับ เพียงแค่ให้ “ถอยไปอยู่ข้างหลัง” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “จงกลับมาติดตามเรา !”
นี่คือสิ่งที่ทำให้เปโตรแตกต่างจากปีศาจอย่างสิ้นเชิง เพราะปีศาจมันหยิ่งจองหองเกินกว่าจะยอมติดตามพระองค์ ส่วนเปโตร แม้จะผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท่านก็หันกลับมาติดตามพระองค์ทุกครั้ง
แล้วเราจะเลือกหนทางแบบปีศาจหรือเปโตร ?
2. เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า
คำสอนหลักที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงบ่อยที่สุดคือ “เงื่อนไขในการติดตามพระองค์” (มธ 10:37-39; มก 8:34-37; ลก 9:23-27; 14:25-27; 17:33; ยน 12:25) ซึ่งมี 3 ประการด้วยกัน
1. เลิกคิดถึงตนเอง หรือ “ปฏิเสธตนเอง” (self-denial) ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี แต่ส่วนใหญ่มักปฏิเสธตนเองแบบมีข้อจำกัด เช่น อดเนื้อ (เฉพาะ) วันศุกร์ หรือทำพลีกรรมชดเชยบาป (เฉพาะ) เทศกาลมหาพรต เป็นต้น
แต่นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของการเลิกคิดถึงตนเองตามความหมายของพระเยซูเจ้า เพราะสำหรับพระองค์ การเลิกคิดถึงตนเองหมายถึงการพูด “ไม่” กับตัวเอง และ “ใช่” กับพระเจ้าทุกลมหายใจตลอดชีวิต ไม่ใช่เลิกคิดถึงตนเองเฉพาะเวลาใดเวลาหนึ่ง
ทุกวันและทุกขณะจิต เราต้องพยายามลดความเป็น “ตัวกู-ของกู” ลง แล้วอัญเชิญพระเจ้ามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ดังแบบอย่างของนักบุญเปาโลที่กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า” (กท 2:20)
2. แบกไม้กางเขนของตน นั่นคือยอมรับภาระทุกอย่างอันเกิดจากการรับใช้ด้วยความเสียสละ เช่น ยอมละทิ้งความทะเยอทะยานส่วนตัวเพื่อรับใช้พระเยซูเจ้า ยอมสละเวลาว่างและความบันเทิงส่วนตัวเพื่อเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุ เด็กกำพร้า ผู้พิการ ผู้ขัดสนและด้อยโอกาส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการรับใช้พระเจ้าที่ดีที่สุด
นอกจากภาระอันเกิดจากการรับใช้พระเจ้าแล้ว กางเขนยังหมายรวมถึงภาระอันเกิดจากหน้าที่การงานประจำวัน มรสุมชีวิต ตลอดจนการประจญล่อลวงอีกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสให้เรา “ชนะ เข้มแข็ง มั่นคง เป็นคนดี และประสบความสำเร็จ” เพิ่มมากขึ้น
3. ติดตามพระเยซูคริสตเจ้า คือยอมรับพระองค์เป็นผู้นำของเรา และพร้อมนบนอบเชื่อฟังพระองค์
เมื่อนบนอบเชื่อฟังพระองค์ก็เท่ากับเรากำลังคิดเหมือนพระองค์ และปรารถนาเหมือนพระองค์ ซึ่งแน่นอนว่าจะนำเราไปสู่การดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ด้วย
แล้วยังจะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการดำเนินชีวิตและมี “ชีวิตเหมือนพระเจ้า” อีกเล่า ?!?
3. เคล็ดลับชีวิต
นอกจากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการแล้ว พระองค์ยังทรงสอนเคล็ดลับในการ “มีชีวิต” แก่เราอีกด้วย
สำหรับพระองค์ “คนเป็น” (existing) และ “คนมีชีวิต” (living) นั้นต่างกัน
ทุกคนที่หายใจได้และหัวใจยังเต้นอยู่ก็ถือว่าเป็น “คนเป็น” แล้ว แต่ใช่ว่า “คนเป็น” ทุกคนจะได้ชื่อว่า “มีชีวิต” เพราะคนที่ “มีชีวิต” จำเป็นต้องมีคุณค่ามากกว่าหายใจได้ เช่น ต้องมีดวงวิญญาณที่สงบสุข มีจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานและเป็นสุขตื่นเต้นซาบซึ้งอยู่ทุกขณะจิต
เคล็ดลับของพระองค์ในการทำให้ “คนเป็น” มีชีวิตคือ “การสละชีวิต” !
พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร” (มธ 16:25)
มัทธิวเขียนพระวรสารราว ค.ศ. 80 - 90 ซึ่งเริ่มมีการเบียดเบียนศาสนาแล้ว ท่านจึงนำพระดำรัสของพระเยซูเจ้ามาบันทึกไว้เพื่อเตือนใจคริสตชนว่า “หากท่านละทิ้งความเชื่อ จริงอยู่ท่านอาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ท่านมีชีวิตต่อไปก็เพื่อรอวันตายและเป็นความตายชั่วนิรันดร ตรงกันข้าม หากท่านรักษาความเชื่อไว้ ท่านอาจตาย แต่ท่านตายเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร”
ทุกวันนี้ แม้โอกาสตายเพื่อยืนยันความเชื่อจะเหลือน้อยเต็มที แต่เราสามารถ “ตายต่อตัวเอง” ได้ทุกวัน
หากเรามัวแต่แสวงหาความสะดวกสบาย เจริญชีวิตตามใจตัวเอง และตัดสินใจตามมาตรฐานชาวโลก เรากำลังปล่อยตัวให้หย่อนยาน เห็นแก่ตัว และยึดติดอยู่กับสิ่งของของโลก ซึ่งเป็นชีวิตที่สวนทางกับพระเจ้าและทำให้ความเป็น “ฉายาของพระเจ้า” ในตัวเราลดน้อยถอยลงอันส่งผลให้ “ความเป็นคน” ของเราด้อยค่าลงจนกลายเป็นคนไร้ค่าไปในที่สุด
ในทางกลับกัน เราพบเห็นนักบุญและวีรบุรุษมากมายที่ยอมสูญเสียทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อพระเยซูเจ้า ต่างได้รับการจารึกชื่อไว้อย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
หากไม่มีผู้ใดดำเนินชีวิตตาม “เคล็ดลับ” ของพระเยซูเจ้า ต่างคนต่างเห็นแก่ความปลอดภัยของตนเอง ไม่ยอมเสี่ยง ไม่ยอมเสียสละ เราคงไม่มียารักษาโรคใหม่ๆ ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ซึ่งคงทำให้ชีวิตของเรายากลำบากมากกว่านี้หรืออาจจบสิ้นไปแล้วก็เป็นได้
หรือหากผู้เป็นแม่กลัวเจ็บ กลัวถูกลูกรบกวน เลยไม่ยอมคลอดบุตร แล้วเราจะเกิดมาได้อย่างไรกัน ?
เพราะฉะนั้น ผู้ที่พร้อมเดิมพันชีวิตของตนเพื่อพระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะพบชีวิต และเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามากด้วย !
อย่าลืมว่า ทุกครั้งที่เราตัดสินใจกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรากำลังทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นนิสัยและบุคลิกลักษณะเฉพาะของเราตลอดไป เราจะทำสิ่งนั้นบ่อยๆ และทำได้อย่างคล่องแคล่วจนลืมคิดถึงสิ่งอื่นและไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้อีก ตัวอย่างเช่น หากเราเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยฟังหรือคิดถึงผู้อื่นเลย เราไม่มีทางคาดหวังได้เลยว่าในบั้นปลายของชีวิตเราจะกลับกลายเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
หรือหากเราดำเนินชีวิตยึดติดอยู่กับโลก มุ่งแสวงหาตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์ศฤงคาร จนมีอำนาจวาสนาและบารมีล้นเหลือ ผู้คนนับหน้าถือตา มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วเรากล้าคาดหวังว่าจะ “ละโลก” หันมาหาพระเจ้าก่อนตายได้ละหรือ ?!?
พระเยซูเจ้าจึงทรงเสริม “เคล็ดลับ” ของพระองค์ด้วยการเตือนสติเราทุกคนว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา” (มธ 16:26)
คำว่า “แลก” ตรงกับภาษากรีก antallagma (อันตัลลักมา) ซึ่งมีตัวอย่างการใช้ในพระธรรมเก่า เช่น “ไม่มี antallagma สำหรับเพื่อนตาย” (บสร 6:15) และ “ไม่มี antallagma สำหรับวิญญาณที่สัตย์ซื่อ” (บสร 26:14)
ความหมายในพระธรรมเก่าคือ ไม่มีสิ่งใดมีค่าเพียงพอที่จะ “แลก” กับเพื่อนตายหรือวิญญาณที่สัตย์ซื่อได้
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงนำคำ “antallagma” มาใช้ ย่อมหมายความว่า โลกไม่มีค่าเพียงพอที่จะแลกกับพระองค์ !
เมื่อพูดถึง “โลก” พระองค์ทรงหมายถึงวัตถุสิ่งของซึ่งถือว่าอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า และเพราะมันอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เราจึงควรคำนึงอยู่เสมอว่า
1. เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เราไม่อาจนำสิ่งใดในโลกติดตัวไปได้เลยนอกจากตัวของเราเอง หากเราลดตัวลงไปยึดติดกับสิ่งที่นำติดตัวไปไม่ได้มันจะน่าเศร้าและขมขื่นสักเพียงใด ?
2. ในวันที่เราต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต จะมีวัตถุใดในโลกที่ช่วยเยียวยาหัวใจซึ่งแตกสลายหรือดวงวิญญาณที่เปล่าเปลี่ยวของเราได้ ?
3. ยิ่งถ้าเราได้สิ่งของนั้นมาอย่างไม่ถูกต้องแล้วถูกมโนธรรมติเตียน เราจะทนฟังเสียงติเตียนนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็นได้หรือ ?
พร้อมกับ “เคล็ดลับ” พระองค์ทรงประทานคำเตือนไว้ด้วยว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์
เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา” (มธ 16:27)
อย่าลืมว่า ทุกๆ วินาที ชีวิตของเรากำลังเคลื่อนที่ไปสู่ “ความตาย” และ “การพิพากษา”
ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากสองสิ่งนี้ไปได้สักคนเดียว !
และเกณฑ์ในการพิพากษาตัดสินของพระเยซูเจ้าคือ “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร” !!
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น