วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2011

อาทิตย์ที่ 22  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 16:21-27
 (21)ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์   จะถูกประหารชีวิต    แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม  (22)เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน (23) แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์
(24)พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา (25) ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร (26) มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา (27) บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา


1. เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง
แม้เปโตรจะประกาศที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิปว่า  พระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (มธ 16:16)  แต่ พระคริสตเจ้า ตามความคิดของเปโตรนั้นแตกต่างจากพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง
พระคริสตเจ้า (จากภาษากรีก) หรือ พระเมสสิยาห์ (จากภาษาฮีบรู) ตามความคิดของเปโตร คือกษัตริย์นักรบที่พระเจ้าทรงส่งมานำกองทัพยิวขับไล่ชาวโรมันออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์ และนำพาชนชาติยิวให้กลับมามีอำนาจรุ่งเรืองเหนือชนชาติอื่น
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่าพระเมสสิยาห์ จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะ   และธรรมาจารย์ และจะถูกประหารชีวิต (มธ 16:21) เปโตรจึงยอมรับไม่ได้ และไวเท่าความคิด ท่านพาพระองค์ออกไปพร้อมกับทูลคัดค้านว่า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน (มธ 16:22)
แล้วคำตำหนิอันหนักหน่วงชนิดที่ใครได้ฟังแล้วเป็นต้องหายใจไม่ทั่วท้องก็ตามมาทันที เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง (มธ 16:23)
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดหรือแววตาแดงก่ำด้วยความโกรธ  ตรงกันข้าม พระองค์ทรงตำหนิเปโตรด้วยความปวดร้าว โศกเศร้า และตระหนกจนตัวสั่น
เพราะการประจญที่เคยหลอกหลอนพระองค์ในถิ่นทุรกันดารก่อนเริ่มต้นภารกิจนั้น ได้หวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
ปีศาจรู้จุดอ่อนของทุกคนดีว่าไม่มีใครอยากตายอย่างเจ็บปวดทรมานบนไม้กางเขน มันจึงพยายามล่อลวงพระองค์ให้เลือกวิธีที่สบายกว่าในการกอบกู้มนุษยชาติ (ดู มธ 4:1-11)
- จงใช้ฤทธิ์อำนาจที่มีดลบันดาลขนมปังแจกผู้คนสิ แล้วพวกเขาจะติดตามพระองค์
- จงแสดงอภินิหารด้วยการกระโดดจากที่สูง เมื่อประชาชนพิศวง พวกเขาก็จะเชื่อฟังพระองค์เองแหละ
- จงยอมก้มหัวให้เราบ้างสิ    อย่าเคร่งครัดนัก หัดเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ดูบ้าง คนเขาจะได้ติดตามพระองค์ง่ายหน่อย
แม้ก่อนถูกจับในสวนเกทเสมนีเพียงไม่กี่นาที มันก็ยังไม่เลิกล่อลวงพระองค์ ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด (มธ 26:39)
แต่ครั้งนี้ปีศาจมันโหดร้ายสุด ๆ !
มันใช้เปโตรผู้เป็นศิษย์เอกของพระองค์เองให้ล่อลวงพระองค์ !!
ปีศาจตรงกับภาษาฮีบรู ซาตาน ซึ่งแปลว่า ปรปักษ์  มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้มนุษย์หันเหจากหนทางของพระเจ้าและกลายเป็นปรปักษ์กับพระองค์
เปโตรถูกปีศาจทำให้เป็น ซาตาน ผู้เป็นปรปักษ์กับพระองค์ จนพระองค์ต้องตรัสว่า เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์ (มธ 16:23)
และนี่คือสาเหตุที่ทำให้พระองค์ตื่นตระหนกและปวดร้าวหัวใจมากที่สุด เพราะซาตานที่มาล่อลวงพระองค์คือผู้ซึ่งรักพระองค์มากที่สุด
แต่ ความรักแท้ ย่อมส่งเสริม คนรัก ให้อยู่ในหนทางของพระเจ้า ไม่ใช่พยายามลากพระองค์ออกไปจากพระเจ้าดังที่เปโตรได้กระทำ !
ความรักแท้ย่อมไม่หน่วงเหนี่ยวอัศวินให้อยู่กับบ้าน แต่ย่อมปล่อยเขาออกไปผจญภัยเพื่อชัยชนะและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
ความรักที่ปกป้องคนรักจากการเป็นทหารหาญของพระคริสตเจ้า หรือจากการดำเนินชีวิตตามหนทางของพระองค์จึงไม่ใช่ รักแท้
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกดุว่าเป็นซาตาน แต่คำสั่งที่พระองค์ทรงใช้ ขับไล่ เปโตรก็ยังแฝงไปด้วยคำเชิญชวนและการให้โอกาสกลับมาติดตามพระองค์
พระองค์ทรงขับไล่ปีศาจที่ล่อลวงพระองค์ในถิ่นทุรกันดารว่า เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น        (มธ 4:10) ซึ่งตรงกับภาษากรีก Hupage Satana (ฮูพาเก ซาตานา)
แต่กับเปโตร พระองค์ตรัสสั่งว่า เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง (มธ 16:23) ภาษากรีกคือ Hupage opiso mou, Satana(ฮูพาเก โอพีโซ มู, ซาตานา)
      แม้จะใช้คำสั่ง ฮูพาเก เหมือนกัน  แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ โอพีโซ มู ซึ่งแปลว่า ข้างหลังฉัน
      หมายความว่า พระองค์ทรงขับไล่ปีศาจให้ ไปแล้ว่ของพระเยซูเจ้าก็ยังแฝงไปด้วยความหวังและการท้าทายให้ติดตามพระองค์ต่อไป
อลวงพระองค์เป็ไปลับ  แต่กับเปโตรไม่ใช่ไปแล้วไปลับ เพียงแค่ให้ ถอยไปอยู่ข้างหลัง หรืออีกนัยหนึ่งคือ จงกลับมาติดตามเรา !”
      นี่คือสิ่งที่ทำให้เปโตรแตกต่างจากปีศาจอย่างสิ้นเชิง เพราะปีศาจมันหยิ่งจองหองเกินกว่าจะยอมติดตามพระองค์  ส่วนเปโตร แม้จะผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท่านก็หันกลับมาติดตามพระองค์ทุกครั้ง
      แล้วเราจะเลือกหนทางแบบปีศาจหรือเปโตร ?
2. เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า
     คำสอนหลักที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงบ่อยที่สุดคือ เงื่อนไขในการติดตามพระองค์ (มธ 10:37-39; มก 8:34-37; ลก 9:23-27; 14:25-27; 17:33; ยน 12:25) ซึ่งมี 3 ประการด้วยกัน
      1.    เลิกคิดถึงตนเอง หรือ ปฏิเสธตนเอง (self-denial) ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี แต่ส่วนใหญ่มักปฏิเสธตนเองแบบมีข้อจำกัด เช่น อดเนื้อ (เฉพาะ) วันศุกร์ หรือทำพลีกรรมชดเชยบาป (เฉพาะ) เทศกาลมหาพรต เป็นต้น
            แต่นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของการเลิกคิดถึงตนเองตามความหมายของพระเยซูเจ้า  เพราะสำหรับพระองค์ การเลิกคิดถึงตนเองหมายถึงการพูด ไม่ กับตัวเอง และ ใช่ กับพระเจ้าทุกลมหายใจตลอดชีวิต  ไม่ใช่เลิกคิดถึงตนเองเฉพาะเวลาใดเวลาหนึ่ง
            ทุกวันและทุกขณะจิต เราต้องพยายามลดความเป็น ตัวกู-ของกู ลง แล้วอัญเชิญพระเจ้ามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ดังแบบอย่างของนักบุญเปาโลที่กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า (กท 2:20)
      2.    แบกไม้กางเขนของตน นั่นคือยอมรับภาระทุกอย่างอันเกิดจากการรับใช้ด้วยความเสียสละ  เช่น ยอมละทิ้งความทะเยอทะยานส่วนตัวเพื่อรับใช้พระเยซูเจ้า ยอมสละเวลาว่างและความบันเทิงส่วนตัวเพื่อเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุ เด็กกำพร้า ผู้พิการ ผู้ขัดสนและด้อยโอกาส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการรับใช้พระเจ้าที่ดีที่สุด
            นอกจากภาระอันเกิดจากการรับใช้พระเจ้าแล้ว กางเขนยังหมายรวมถึงภาระอันเกิดจากหน้าที่การงานประจำวัน มรสุมชีวิต ตลอดจนการประจญล่อลวงอีกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสให้เรา ชนะ เข้มแข็ง มั่นคง เป็นคนดี และประสบความสำเร็จ เพิ่มมากขึ้น
      3.    ติดตามพระเยซูคริสตเจ้า คือยอมรับพระองค์เป็นผู้นำของเรา และพร้อมนบนอบเชื่อฟังพระองค์
      เมื่อนบนอบเชื่อฟังพระองค์ก็เท่ากับเรากำลังคิดเหมือนพระองค์ และปรารถนาเหมือนพระองค์ ซึ่งแน่นอนว่าจะนำเราไปสู่การดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ด้วย
            แล้วยังจะมีสิ่งใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการดำเนินชีวิตและมี ชีวิตเหมือนพระเจ้า อีกเล่า ?!?
3. เคล็ดลับชีวิต
นอกจากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการแล้ว พระองค์ยังทรงสอนเคล็ดลับในการ มีชีวิต แก่เราอีกด้วย
สำหรับพระองค์ คนเป็น (existing) และ คนมีชีวิต (living) นั้นต่างกัน
      ทุกคนที่หายใจได้และหัวใจยังเต้นอยู่ก็ถือว่าเป็น คนเป็น แล้ว แต่ใช่ว่า คนเป็น ทุกคนจะได้ชื่อว่า มีชีวิต  เพราะคนที่ มีชีวิต จำเป็นต้องมีคุณค่ามากกว่าหายใจได้   เช่น  ต้องมีดวงวิญญาณที่สงบสุข   มีจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานและเป็นสุขตื่นเต้นซาบซึ้งอยู่ทุกขณะจิต
      เคล็ดลับของพระองค์ในการทำให้ คนเป็น มีชีวิตคือ การสละชีวิต” !
      พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร (มธ 16:25)
      มัทธิวเขียนพระวรสารราว ค.ศ. 80 - 90 ซึ่งเริ่มมีการเบียดเบียนศาสนาแล้ว ท่านจึงนำพระดำรัสของพระเยซูเจ้ามาบันทึกไว้เพื่อเตือนใจคริสตชนว่า หากท่านละทิ้งความเชื่อ จริงอยู่ท่านอาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ท่านมีชีวิตต่อไปก็เพื่อรอวันตายและเป็นความตายชั่วนิรันดร  ตรงกันข้าม หากท่านรักษาความเชื่อไว้ ท่านอาจตาย แต่ท่านตายเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร
      ทุกวันนี้ แม้โอกาสตายเพื่อยืนยันความเชื่อจะเหลือน้อยเต็มที แต่เราสามารถ ตายต่อตัวเอง ได้ทุกวัน
หากเรามัวแต่แสวงหาความสะดวกสบาย เจริญชีวิตตามใจตัวเอง และตัดสินใจตามมาตรฐานชาวโลก  เรากำลังปล่อยตัวให้หย่อนยาน เห็นแก่ตัว และยึดติดอยู่กับสิ่งของของโลก ซึ่งเป็นชีวิตที่สวนทางกับพระเจ้าและทำให้ความเป็น ฉายาของพระเจ้า ในตัวเราลดน้อยถอยลงอันส่งผลให้ ความเป็นคน ของเราด้อยค่าลงจนกลายเป็นคนไร้ค่าไปในที่สุด
      ในทางกลับกัน เราพบเห็นนักบุญและวีรบุรุษมากมายที่ยอมสูญเสียทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อพระเยซูเจ้า ต่างได้รับการจารึกชื่อไว้อย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
      หากไม่มีผู้ใดดำเนินชีวิตตาม เคล็ดลับ ของพระเยซูเจ้า  ต่างคนต่างเห็นแก่ความปลอดภัยของตนเอง ไม่ยอมเสี่ยง ไม่ยอมเสียสละ  เราคงไม่มียารักษาโรคใหม่ๆ  ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ  ซึ่งคงทำให้ชีวิตของเรายากลำบากมากกว่านี้หรืออาจจบสิ้นไปแล้วก็เป็นได้
      หรือหากผู้เป็นแม่กลัวเจ็บ กลัวถูกลูกรบกวน เลยไม่ยอมคลอดบุตร แล้วเราจะเกิดมาได้อย่างไรกัน ?
      เพราะฉะนั้น ผู้ที่พร้อมเดิมพันชีวิตของตนเพื่อพระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะพบชีวิต และเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามากด้วย !
      อย่าลืมว่า ทุกครั้งที่เราตัดสินใจกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรากำลังทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นนิสัยและบุคลิกลักษณะเฉพาะของเราตลอดไป  เราจะทำสิ่งนั้นบ่อยๆ และทำได้อย่างคล่องแคล่วจนลืมคิดถึงสิ่งอื่นและไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้อีก ตัวอย่างเช่น หากเราเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยฟังหรือคิดถึงผู้อื่นเลย  เราไม่มีทางคาดหวังได้เลยว่าในบั้นปลายของชีวิตเราจะกลับกลายเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
      หรือหากเราดำเนินชีวิตยึดติดอยู่กับโลก มุ่งแสวงหาตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์ศฤงคาร จนมีอำนาจวาสนาและบารมีล้นเหลือ ผู้คนนับหน้าถือตา มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง  แล้วเรากล้าคาดหวังว่าจะ ละโลก หันมาหาพระเจ้าก่อนตายได้ละหรือ ?!?
      พระเยซูเจ้าจึงทรงเสริม เคล็ดลับ ของพระองค์ด้วยการเตือนสติเราทุกคนว่า มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต  มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา (มธ 16:26)
      คำว่า แลก ตรงกับภาษากรีก antallagma (อันตัลลักมา) ซึ่งมีตัวอย่างการใช้ในพระธรรมเก่า เช่น ไม่มี antallagma สำหรับเพื่อนตาย (บสร 6:15) และ ไม่มี antallagma สำหรับวิญญาณที่สัตย์ซื่อ (บสร 26:14)
      ความหมายในพระธรรมเก่าคือ ไม่มีสิ่งใดมีค่าเพียงพอที่จะ แลก กับเพื่อนตายหรือวิญญาณที่สัตย์ซื่อได้
      เมื่อพระเยซูเจ้าทรงนำคำ “antallagma” มาใช้ ย่อมหมายความว่า โลกไม่มีค่าเพียงพอที่จะแลกกับพระองค์ !
เมื่อพูดถึง โลก พระองค์ทรงหมายถึงวัตถุสิ่งของซึ่งถือว่าอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  และเพราะมันอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เราจึงควรคำนึงอยู่เสมอว่า
      1.    เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เราไม่อาจนำสิ่งใดในโลกติดตัวไปได้เลยนอกจากตัวของเราเอง  หากเราลดตัวลงไปยึดติดกับสิ่งที่นำติดตัวไปไม่ได้มันจะน่าเศร้าและขมขื่นสักเพียงใด ?
      2.    ในวันที่เราต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต จะมีวัตถุใดในโลกที่ช่วยเยียวยาหัวใจซึ่งแตกสลายหรือดวงวิญญาณที่เปล่าเปลี่ยวของเราได้ ?
      3.    ยิ่งถ้าเราได้สิ่งของนั้นมาอย่างไม่ถูกต้องแล้วถูกมโนธรรมติเตียน เราจะทนฟังเสียงติเตียนนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็นได้หรือ ?
พร้อมกับ เคล็ดลับ พระองค์ทรงประทานคำเตือนไว้ด้วยว่า บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ 


เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา (มธ 16:27)
      อย่าลืมว่า ทุกๆ วินาที ชีวิตของเรากำลังเคลื่อนที่ไปสู่ ความตาย และ การพิพากษา
      ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากสองสิ่งนี้ไปได้สักคนเดียว !
และเกณฑ์ในการพิพากษาตัดสินของพระเยซูเจ้าคือ ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร  แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิตนิรันดร !!
               
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น