วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2011

สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

 ( วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   ลูกา 1:39-56
       (39)หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย  (40)พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนาง เอลีซาเบธ  (41)เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น  นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม  (42)ร้องเสียงดังว่า เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย  (43)ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า  (44)เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี  (45)เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง
(46)พระนางมารีย์ ตรัสว่า วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (47)จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า (48)เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข (49)พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ (50)พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย (51)พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป (52)ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น (53)พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า (54)พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา (55)ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป
(56)พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ

เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือน พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาแจ้งข่าวแก่พระนางมารีย์ว่าจะทรงตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อว่าเยซู (ลก 1:31)
แต่เพราะพระนางมารีย์ทรงเป็นหญิงพรหมจารี จึงถามทูตสวรรค์ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? (ลก 1:34)
ทูตสวรรค์อธิบายว่าพระแม่จะตั้งครรภ์ด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า และบุตรที่เกิดมาจะเป็นบุตรของพระเจ้า  พร้อมกันนั้นได้ยืนยันว่านางเอลีซาเบธ ทั้งๆ ที่ชราและเป็นหมัน ยังตั้งครรภ์ได้ตั้งหกเดือนแล้ว (ลก 1:35-36)
ครั้นทราบว่านางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ พระแม่มารีย์จึงรีบออกเดินทางจากเมือง  นาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี มาเยี่ยมนางเอลีซาเบธซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองเฮโบรน (เทียบ ยชว 21:11) ในแคว้นยูเดียทางใต้
       เมื่อพระแม่เข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และกล่าวทักทายนางเอลีซาเบธ นาง    เอลีซาเบธ ซึ่งได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย  ทำไมหนอพระมารดาขององค์         พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า (ลก 1:42)
       สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่มีข้อความใดเลยในพระคัมภีร์ที่บ่งบอกว่านางเอลีซาเบธรู้เรื่องการตั้งครรภ์ของพระแม่  แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่า พระแม่กำลังจะเป็นพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหากพระจิตเจ้าไม่ทรงไขแสดงแก่นาง ?!
       เท่ากับว่า นี่เป็นงานของพระจิตเจ้าล้วนๆ !
       นอกจากนี้ ทารกในครรภ์ของนางเอลีซาเบธก็ได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และได้รับการไขแสดงให้ทราบว่าพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จมาเยี่ยมด้วยเช่นกัน จึง ดิ้น ด้วยความยินดีเมื่อได้ยินคำทักทายของพระแม่ (ลก 1:41)
      สมดังคำทำนายของทูตสวรรค์ที่พูดกับเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาว่า เขาจะรับ    พระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา (ลก 1:15)
       เท่ากับว่า พระจิตเจ้าทรงยืนยันผ่านทางคำทักทายของนางเอลีซาเบธและการดิ้นของทารกในครรภ์ว่า พระนางมารีย์ผู้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ที่เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ ทรงเป็น พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
       เป็นพระมารดาผู้ทรงตั้งครรภ์ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า และบุตรที่บังเกิดมานั้น จะยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรแห่งพระเจ้าสูงสุด  พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธ์แห่งยาโคบตลอดไป  อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย (ลก 1:32-33)
      เพราะเหตุใดหรือพระนางมารีย์จึงได้รับเลือกให้เป็น พระมารดาขององค์    พระผู้เป็นเจ้า และได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ?
       เหตุผลประการแรกคือ พระแม่ทรงดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
       ทั้งๆ ที่รู้สึกวุ่นวายพระทัยมากกับสิ่งที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่พระนาง  แต่พระแม่ตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด (ลก 1:38)
        เพราะทรงพร้อมน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้เอง  นางเอลีซาเบธผู้เต็มเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า จึงร้องเสียงดังว่า เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด (ลก 1:42)
       ใช่ พระแม่ได้รับพระพรและมีบุญยิ่งกว่าหญิงใดๆ   เพราะพระแม่ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและเลือกสรร
       แต่ความจริงที่ทิ่มแทงหัวใจของเราทุกคนก็คือ พระเจ้าทรงโปรดปรานและทรงเลือกสรรผู้หนึ่งผู้ใด มิใช่เพื่อให้เขาผู้นั้นกอบโกยความสุขสบายใส่ตัว แต่เพื่อให้ทุ่มเทความคิด จิตใจ และพละกำลังเพื่อทำภารกิจที่ทรงมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไป
       นั่นคือ พระองค์ทรงเลือกสรรเราเพื่อให้เราทำภารกิจและได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ !!
       และหนทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มีอยู่เพียงหนทางเดียว นั่นคือ หนทางของไม้กางเขน
        ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นพระแม่ผู้ทรงได้รับการเลือกสรรให้เป็นพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทับยืนด้วยความทุกข์ตรมใจสุดซึ้ง ณ เชิงไม้กางเขน เฝ้าดูพระบุตรที่พระนางทรงอุ้มชูเลี้ยงดูมากับมือ ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าต่อตา
       การน้อมรับความตรมตรอมแสนสาหัสดุจดัง ดาบแทงทะลุจิตใจ ตามคำทำนายของสิเมโอน (ลก 2:35) นี้เอง ที่ทำให้พระแม่ได้รับพระพรและมีบุญยิ่งกว่าหญิงใดๆ !
หากปราศจากกางเขน พระแม่ย่อมปราศจากพระสิริรุ่งโรจน์ดังที่เราร่วมใจกันสมโภชการรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ฯ ของพระนางในวันนี้
       เพราะฉะนั้น เมื่อพระแม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด  ย่อมเท่ากับว่าพระแม่ทรงพร้อมดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า แม้จะต้องเผชิญกับกางเขนอันแสนตรมตรอมสักปากใดก็ตาม
      อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความทุกข์ตรมตรอมและความยากลำบากในชีวิต     พระแม่ได้รับความบรรเทาใจว่าทั้งหมดนี้คือ พระประสงค์ของพระเจ้า
       นี่คือชีวิตของพระแม่ !
       ฉะนั้น หากเป็น ลูกแม่ จริง เราต้องพร้อมกล่าวเช่นเดียวกับพระแม่ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด
และอย่าเพียงแต่พูดเท่านั้น แต่ต้องลงมือทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงไปดังที่ แม่ ของเราได้ทรงกระทำและทรงได้รับเกียรติสูงสุดในวันนี้อีกด้วย

       เหตุผลประการที่สองคือ พระแม่ทรงเชื่อและวางใจพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
       นางเอลีซาเบธกล่าวกับพระแม่ว่า เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง (ลก 1:45)
       ใช่ ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระวาจาของพระเจ้าย่อมเป็นสุข !
       ใน บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์ (Magnificat) พระแม่ทรงแสดงความเชื่อและความวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
       เป็นความเชื่อและความวางใจที่พลิกโฉมหน้าของโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะพระแม่ทรงเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงฟื้นฟูและปฏิรูปชีวิตมนุษย์ ทุกด้าน !!!
1.    ด้านศีลธรรม
       พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป (ลก 1:51)
       เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ความหยิ่งจองหองและความมักใหญ่ใฝ่สูงจะต้องมลายหายไป  เพราะเราจะมัวหยิ่งจองหองต่อไปได้อย่างไรใน เมื่อพระองค์ทรงเลือกเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ และทรงเลือกตายบนไม้กางเขน
       เมื่อความหยิ่งจองหองถูกทำลายหมดสิ้นไป เราจะเริ่มตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาป อ่อนแอ และต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากสักเพียงใด
       ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอังกฤษ เด็กชายและหญิงคู่หนึ่งนั่งเรียนติดกันจนรักใคร่ชอบพอกัน  ต่อมาเด็กหนุ่มเข้าไปทำงานในเมืองและหลงผิดกลายเป็นนักล้วงกระเป๋า     วันหนึ่งเขาสามารถฉกกระเป๋าเงินของหญิงชราผู้หนึ่งได้ด้วยทักษะและสติปัญญาอันเฉียบแหลมของเขา  ขณะที่ยืนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจอยู่นั้นเอง พลันเด็กหญิงที่เคยนั่งเรียนติดกันก็เดินมา เธอยังคงหวานชื่นและสดใสบริสุทธิ์เหมือนเดิม  เมื่อสบตากันเขาตระหนักทันทีว่าตนเองช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร  ด้วยความละอายใจ เขาพิงศีรษะกับเสาไฟอันเย็นเฉียบ พึมพำว่า ข้าแต่พระเจ้า ลูกอยากตาย
       ต่อหน้าคนรักผู้บริสุทธิ์ เขามองเห็นตัวเอง !
       เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าและพระแม่ผู้ทรงสุภาพถ่อมตน ความหยิ่งจองหองจะมลายหายไป และเราจะมองเห็นตัวตนที่แท้จริง
       นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปศีลธรรม !
2.   ด้านสังคม
       พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรง คว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์   และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น (ลก 1:52)
       นับจากนี้จะไม่มีการแยกแยะสังคมของคนชั้นสูงออกจากสังคมของคนชั้นต่ำอีกต่อไป  เพราะพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดและสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนสักเพียงใดก็ตาม
       ทุกคนล้วนได้รับการกอบกู้ และเป็นบุตรของพระเจ้า เหมือนกัน และ เท่าเทียมกัน
       ในยุคกลาง มีปัญญาชนเร่ร่อนคนหนึ่งนามว่ามูเรตัส (Muretus)  เขายากจนมากจนครั้งหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาลในฐานะคนจรจัด   คณะแพทย์สนทนากันเป็นภาษาละตินโดยคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจ  แพทย์คนหนึ่งเสนอให้ใช้คนไร้ค่าอย่างเขาเป็นหนูทดลองยา  เขาแหงนหน้ามองแล้วตอบเป็นภาษาละตินว่า อย่าเรียกใครว่าไร้ค่าอีก เพราะพระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน
       พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน !!
3.   ด้านเศรษฐกิจ
       พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรง ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า (ลก 1:53)
       สังคมที่ปราศจากพระเยซูเจ้ามักเป็นสังคมที่มีแต่ เอา ชนิดมือใครยาว สาวได้สาวเอา
       เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงมีแต่ ให้  และทรงให้แม้กระทั่งชีวิตและโลหิตหยดสุดท้ายของพระองค์เอง !
       เพราะฉะนั้น สังคมคริสตชนจึงต้องเป็นสังคมที่ไม่มีใครกล้า มีมากเกินไป ในขณะที่คนอื่น มีน้อยเกินไป จนแทบดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้
       ยิ่งได้รับมากเท่าใด ยิ่งต้องให้มากเท่านั้น !
       ดุจเดียวกับพระแม่ที่ทรงได้รับพระพรมากกว่าหญิงใดๆ  พระแม่จึงมอบถวาย น้ำใจ ทั้งหมดของพระนางแด่พระเจ้า
       วาทะที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด จักต้องดังก้องอยู่ในจิตใจของ ลูกแม่ ทุกคน
       ทั้งวันนี้ที่เราสมโภชพระแม่รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ฯ  และตลอดไป !!!
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น