สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
( วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี ลูกา 1:39-56
(39)หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย (40)พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนาง เอลีซาเบธ (41)เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม (42)ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย (43)ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า (44)เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี (45)เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
(46)พระนางมารีย์ ตรัสว่า วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (47)จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า (48)เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข (49)พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ (50)พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย (51)พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป (52)ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น (53)พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า (54)พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา (55)ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป
(56)พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ
เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือน พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาแจ้งข่าวแก่พระนางมารีย์ว่าจะทรงตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อว่าเยซู (ลก 1:31)
แต่เพราะพระนางมารีย์ทรงเป็นหญิงพรหมจารี จึงถามทูตสวรรค์ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? (ลก 1:34)
ทูตสวรรค์อธิบายว่าพระแม่จะตั้งครรภ์ด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า และบุตรที่เกิดมาจะเป็นบุตรของพระเจ้า พร้อมกันนั้นได้ยืนยันว่านางเอลีซาเบธ ทั้งๆ ที่ชราและเป็นหมัน ยังตั้งครรภ์ได้ตั้งหกเดือนแล้ว (ลก 1:35-36)
ครั้นทราบว่านางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ พระแม่มารีย์จึงรีบออกเดินทางจากเมือง นาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี มาเยี่ยมนางเอลีซาเบธซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองเฮโบรน (เทียบ ยชว 21:11) ในแคว้นยูเดียทางใต้
เมื่อพระแม่เข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และกล่าวทักทายนางเอลีซาเบธ นาง เอลีซาเบธ ซึ่งได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์ พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า” (ลก 1:42)
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่มีข้อความใดเลยในพระคัมภีร์ที่บ่งบอกว่านางเอลีซาเบธรู้เรื่องการตั้งครรภ์ของพระแม่ แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่า พระแม่กำลังจะเป็นพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหากพระจิตเจ้าไม่ทรงไขแสดงแก่นาง ?!
เท่ากับว่า นี่เป็นงานของพระจิตเจ้าล้วนๆ !
นอกจากนี้ ทารกในครรภ์ของนางเอลีซาเบธก็ได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และได้รับการไขแสดงให้ทราบว่าพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จมาเยี่ยมด้วยเช่นกัน จึง “ดิ้น” ด้วยความยินดีเมื่อได้ยินคำทักทายของพระแม่ (ลก 1:41)
สมดังคำทำนายของทูตสวรรค์ที่พูดกับเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาว่า “เขาจะรับ พระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา” (ลก 1:15)
เท่ากับว่า พระจิตเจ้าทรงยืนยันผ่านทางคำทักทายของนางเอลีซาเบธและการดิ้นของทารกในครรภ์ว่า พระนางมารีย์ผู้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ที่เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ ทรงเป็น “พระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
เป็นพระมารดาผู้ทรงตั้งครรภ์ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า และบุตรที่บังเกิดมานั้น “จะยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรแห่งพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธ์แห่งยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” (ลก 1:32-33)
เพราะเหตุใดหรือพระนางมารีย์จึงได้รับเลือกให้เป็น “พระมารดาขององค์ พระผู้เป็นเจ้า” และได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ?
เหตุผลประการแรกคือ พระแม่ทรงดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ทั้งๆ ที่รู้สึกวุ่นวายพระทัยมากกับสิ่งที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่พระนาง แต่พระแม่ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38)
เพราะทรงพร้อมน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้เอง นางเอลีซาเบธผู้เต็มเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า จึงร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด” (ลก 1:42)
ใช่ พระแม่ได้รับพระพรและมีบุญยิ่งกว่าหญิงใดๆ เพราะพระแม่ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและเลือกสรร
แต่ความจริงที่ทิ่มแทงหัวใจของเราทุกคนก็คือ พระเจ้าทรงโปรดปรานและทรงเลือกสรรผู้หนึ่งผู้ใด มิใช่เพื่อให้เขาผู้นั้นกอบโกยความสุขสบายใส่ตัว แต่เพื่อให้ทุ่มเทความคิด จิตใจ และพละกำลังเพื่อทำภารกิจที่ทรงมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไป
นั่นคือ พระองค์ทรงเลือกสรรเราเพื่อให้เราทำภารกิจและได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ !!
และหนทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มีอยู่เพียงหนทางเดียว นั่นคือ “หนทางของไม้กางเขน”
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นพระแม่ผู้ทรงได้รับการเลือกสรรให้เป็นพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงประทับยืนด้วยความทุกข์ตรมใจสุดซึ้ง ณ เชิงไม้กางเขน เฝ้าดูพระบุตรที่พระนางทรงอุ้มชูเลี้ยงดูมากับมือ ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าต่อตา
การน้อมรับความตรมตรอมแสนสาหัสดุจดัง “ดาบแทงทะลุจิตใจ” ตามคำทำนายของสิเมโอน (ลก 2:35) นี้เอง ที่ทำให้พระแม่ได้รับพระพรและมีบุญยิ่งกว่าหญิงใดๆ !
หากปราศจากกางเขน พระแม่ย่อมปราศจากพระสิริรุ่งโรจน์ดังที่เราร่วมใจกันสมโภชการรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ฯ ของพระนางในวันนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อพระแม่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” ย่อมเท่ากับว่าพระแม่ทรงพร้อมดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า แม้จะต้องเผชิญกับกางเขนอันแสนตรมตรอมสักปากใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความทุกข์ตรมตรอมและความยากลำบากในชีวิต พระแม่ได้รับความบรรเทาใจว่าทั้งหมดนี้คือ “พระประสงค์ของพระเจ้า”
นี่คือชีวิตของพระแม่ !
ฉะนั้น หากเป็น “ลูกแม่” จริง เราต้องพร้อมกล่าวเช่นเดียวกับพระแม่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”
และอย่าเพียงแต่พูดเท่านั้น แต่ต้องลงมือทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงไปดังที่ “แม่” ของเราได้ทรงกระทำและทรงได้รับเกียรติสูงสุดในวันนี้อีกด้วย
เหตุผลประการที่สองคือ พระแม่ทรงเชื่อและวางใจพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
นางเอลีซาเบธกล่าวกับพระแม่ว่า “เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” (ลก 1:45)
ใช่ ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระวาจาของพระเจ้าย่อมเป็นสุข !
ใน “บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์” (Magnificat) พระแม่ทรงแสดงความเชื่อและความวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
เป็นความเชื่อและความวางใจที่พลิกโฉมหน้าของโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะพระแม่ทรงเชื่อว่า “พระเจ้าจะทรงฟื้นฟูและปฏิรูปชีวิตมนุษย์” ทุกด้าน !!!
1. ด้านศีลธรรม
พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะ “ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป” (ลก 1:51)
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ความหยิ่งจองหองและความมักใหญ่ใฝ่สูงจะต้องมลายหายไป เพราะเราจะมัวหยิ่งจองหองต่อไปได้อย่างไรใน เมื่อพระองค์ทรงเลือกเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ และทรงเลือกตายบนไม้กางเขน
เมื่อความหยิ่งจองหองถูกทำลายหมดสิ้นไป เราจะเริ่มตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาป อ่อนแอ และต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากสักเพียงใด
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอังกฤษ เด็กชายและหญิงคู่หนึ่งนั่งเรียนติดกันจนรักใคร่ชอบพอกัน ต่อมาเด็กหนุ่มเข้าไปทำงานในเมืองและหลงผิดกลายเป็นนักล้วงกระเป๋า วันหนึ่งเขาสามารถฉกกระเป๋าเงินของหญิงชราผู้หนึ่งได้ด้วยทักษะและสติปัญญาอันเฉียบแหลมของเขา ขณะที่ยืนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจอยู่นั้นเอง พลันเด็กหญิงที่เคยนั่งเรียนติดกันก็เดินมา เธอยังคงหวานชื่นและสดใสบริสุทธิ์เหมือนเดิม เมื่อสบตากันเขาตระหนักทันทีว่าตนเองช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร ด้วยความละอายใจ เขาพิงศีรษะกับเสาไฟอันเย็นเฉียบ พึมพำว่า “ข้าแต่พระเจ้า ลูกอยากตาย”
ต่อหน้าคนรักผู้บริสุทธิ์ เขามองเห็นตัวเอง !
เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าและพระแม่ผู้ทรงสุภาพถ่อมตน ความหยิ่งจองหองจะมลายหายไป และเราจะมองเห็นตัวตนที่แท้จริง
นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปศีลธรรม !
2. ด้านสังคม
พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรง “คว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น” (ลก 1:52)
นับจากนี้จะไม่มีการแยกแยะสังคมของคนชั้นสูงออกจากสังคมของคนชั้นต่ำอีกต่อไป เพราะพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดและสิ้นพระชนม์ “เพื่อมนุษย์ทุกคน” ไม่ว่าจะยากดีมีจนสักเพียงใดก็ตาม
ทุกคนล้วนได้รับการกอบกู้ และเป็นบุตรของพระเจ้า “เหมือนกัน” และ “เท่าเทียมกัน”
ในยุคกลาง มีปัญญาชนเร่ร่อนคนหนึ่งนามว่ามูเรตัส (Muretus) เขายากจนมากจนครั้งหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาลในฐานะคนจรจัด คณะแพทย์สนทนากันเป็นภาษาละตินโดยคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจ แพทย์คนหนึ่งเสนอให้ใช้คนไร้ค่าอย่างเขาเป็นหนูทดลองยา เขาแหงนหน้ามองแล้วตอบเป็นภาษาละตินว่า “อย่าเรียกใครว่าไร้ค่าอีก เพราะพระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน”
พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน !!
3. ด้านเศรษฐกิจ
พระแม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรง “ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า” (ลก 1:53)
สังคมที่ปราศจากพระเยซูเจ้ามักเป็นสังคมที่มีแต่ “เอา” ชนิดมือใครยาว สาวได้สาวเอา
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงมีแต่ “ให้” และทรงให้แม้กระทั่งชีวิตและโลหิตหยดสุดท้ายของพระองค์เอง !
เพราะฉะนั้น สังคมคริสตชนจึงต้องเป็นสังคมที่ไม่มีใครกล้า “มีมากเกินไป” ในขณะที่คนอื่น “มีน้อยเกินไป” จนแทบดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้
ยิ่งได้รับมากเท่าใด ยิ่งต้องให้มากเท่านั้น !
ดุจเดียวกับพระแม่ที่ทรงได้รับพระพรมากกว่าหญิงใดๆ พระแม่จึงมอบถวาย “น้ำใจ” ทั้งหมดของพระนางแด่พระเจ้า
วาทะที่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” จักต้องดังก้องอยู่ในจิตใจของ “ลูกแม่” ทุกคน
ทั้งวันนี้ที่เราสมโภชพระแม่รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ฯ และตลอดไป !!!
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น