วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2011

อาทิตย์ที่ 18  เทศกาลธรรมดา
 ( วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 14:13-21
(13)เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพังเมื่อประชาชนรู้ต่างก็เดินเท้าจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระองค์  (14)เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค  (15)เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเถิด” (16)พระเยซูเจ้าตรัสว่า เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด  (17)เขาทูลตอบว่า ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น  (18)พระองค์จึงตรัสว่า เอามาให้เราที่นี่เถิด  (19)พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน  (20)ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง (21) จำนวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก
  หลังจากยอห์นผู้ทำพิธีล้างถูกกษัตริย์เฮโรดสั่งตัดศีรษะ บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ (มธ 14:12)
      นอกจากจะทรงเสียพระทัยกับการจากไปของยอห์นผู้ทำพิธีล้างแล้ว พระองค์คงอดคิดถึงชะตากรรมทำนองเดียวกันที่กำลังรอพระองค์อยู่เบื้องหน้าไม่ได้
      การหลบจากประชาชนไปหาที่สงัดตามลำพังเพื่อพักกาย พักใจ และเพื่อวอนขอความช่วยเหลือและพละกำลังจากพระบิดาเจ้า จึงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่ง !
      แต่การจะแสวงหาที่สงัดในแคว้นกาลิลีสำหรับบุคคลผู้มีชื่อเสียงอย่างพระองค์คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโยเซฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิว บันทึกไว้ว่าด้วยขนาดเพียง 40 กิโลเมตรจากตะวันออกจดตะวันตก และ 80 กิโลเมตรจากเหนือจดใต้  กาลิลีสมัยพระเยซูเจ้าประกอบด้วยเมืองและหมู่บ้านมากถึง 204 แห่ง แต่ละแห่งมีพลเมือง ไม่น้อยกว่า 15,000 คน  รวมแล้วจึงมีประชากรหนาแน่นมากกว่าสามล้านคน
      หากต้องการอยู่ตามลำพังจึงเหลือเพียงหนทางเดียว นั่นคือ ลงเรือข้ามทะเลสาบกาลิลีไปอีกฟากหนึ่งซึ่งมีประชากรเบาบางกว่ากันมาก
      แต่เมื่อเสด็จลงเรือประชาชนก็คาดเดาได้ว่าพระองค์กำลังไปที่ใด  พวกเขาจึงเร่งรีบเดินเลียบไปตามชายฝั่งทะเลสาบด้านเหนือเพื่อดักรอเฝ้าพระองค์ (มธ 14:13)
      ด้วยเหตุนี้ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ พระองค์จึงทรงพบเห็นประชาชนมากมาย กระนั้นก็ตามพระองค์ ทรงสงสารและทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค (มธ 14:14) ครั้นตกเย็นยังทรงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด (มธ 14:16)
      เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เผยแสดงความจริงหลายประการเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า
      1.    พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร
            ทั้งๆ ที่เสด็จมาเพื่อแสวงหาความสงัดตามลำพัง แต่เมื่อขึ้นจากเรือ พระองค์กลับพบประชาชนมากมายเฝ้ารออยู่
            พระองค์จะทรงปฏิเสธพวกเขาก็ได้  พวกเขามีสิทธิอะไรมาก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของพระองค์ด้วยการเรียกร้องขอความช่วยเหลือแบบไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้  พระองค์ไม่มีสิทธิพักผ่อนหรือมีเวลาส่วนตัวบ้างเลยหรือ ?
            กระนั้นก็ตาม แทนที่จะรู้สึกว่าถูกกวนใจ พระองค์กลับ ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค (มธ 14:14)
            สงสาร ตรงกับคำกริยากรีก สพรากค์นีซอมาย” (splagchnizomai) อันมีรากศัพท์เดียวกันกับคำนาม สพรากค์นา” (splagchna) ซึ่งหมายถึง ตับไตไส้พุง
          สพรากค์นีซอมาย จึงหมายถึงความรู้สึกเมตตาสงสารที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากส่วนลึกที่สุด นั่นคือตับไตไส้พุงซึ่งอยู่ลึกกว่าหัวใจของเรามนุษย์เสียอีก
            เท่ากับว่านอกจากจะไม่ทรงโกรธหรือรำคาญใจแล้ว พระองค์ยังทรงสงสารพวกเขาอย่างสุดซึ้งอีกด้วย
            พระองค์ทรงทำให้ประชาชนได้ประจักษ์ว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ทุกคน !!!
            เราก็เช่นเดียวกัน หากจะประกาศข่าวดีของพระองค์ เราจำต้องให้ เวลา แก่ทุกคน  หากเราแสดงอาการเหนื่อยล้า หมดความอดทน เร่งรีบ หรือทำราวกับถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว  สัตบุรุษของเราจะทยอยหายไป และจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก
            ดังนั้น เราจะประกาศข่าวดีโดยที่ตาข้างหนึ่งจับจ้องอยู่ที่นาฬิกาไม่ได้ !
            และที่ร้ายไปกว่านาฬิกาก็คือความเป็นคนเจ้ายศ เจ้าอย่าง และเจ้าระเบียบการซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งใหญ่กว่าอีก
            อิสวาร์ จันดาร์ วิทยสักกะ บัณฑิตชาวอินเดียผู้ก่อตั้งวิทยาลัยฮินดูในกัลกัตตา เป็นนักปฏิรูปสังคม นักเขียนและนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียงของอินเดีย  ท่านได้รับมอบหมายจากชาวฮินดูในเมืองกัลกัตตาให้มาสร้างความสัมพันธ์กับชาวคริสต์ แต่ต้องผิดหวังกลับไปเพราะพระสังฆราชไม่ยินยอมให้พบ เว้นแต่จะได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า  ท่านจึงรวบรวมชาวฮินดูเพื่อต่อต้านพระศาสนจักรนับแต่นั้นมา หาไม่แล้ว คริสตศาสนาคงได้งอกงามในเบงกอลมากกว่านี้สักเพียงใด !
      2.    พระองค์ทรงกตัญญูรู้คุณ
            หลังจากรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวจากศิษย์แล้ว พระองค์ ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร (มธ 14:19)
            คำถวายพระพรที่พระองค์และชาวยิวทุกครอบครัวใช้ก่อนรับประทานอาหารคือ ขอถวายพระพรแด่พระยะโฮวาห์ พระเจ้าของเราและกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล  พระองค์ทรงประทานขนมปังจากผืนแผ่นดิน
            ซึ่งบ่งบอกว่า ขนมปัง ปลา และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงนำมามอบแก่มนุษย์ล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้า
            แม้แต่พระเยซูเจ้ายังทรงขอบพระคุณพระเจ้าด้วยความกตัญญูรู้คุณ  แต่น่าเสียดายที่ลำพังความกตัญญูรู้คุณต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเราก็มีน้อยมากอยู่แล้ว แต่ความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้าเรายิ่งมีน้อยกว่าอีก !
      3.    พระองค์ทรงต้องการเราทุกคน
            หลังจากกล่าวถวายพระพรแล้ว พระองค์ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน (มธ 14:19)
            เท่ากับว่าบรรดาศิษย์มีบทบาทสำคัญในงานของพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงแจกจ่ายขนมปังโดยผ่านทาง มือ ของพวกเขา
            เป็นความจริงที่บรรดาศิษย์ไม่อาจทำอะไรได้หากปราศจากพระเยซูเจ้า แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ก็ไม่อาจทำอะไรได้หากปราศจากบรรดาศิษย์
      ทุกวันนี้พระองค์ยังทรงต้องการ ศิษย์อย่างเรา  ให้ร่วมมือกับพระองค์ดังเดิม  ใครล่ะจะอบรมสั่งสอนเด็กๆ   หรือจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขัดสนหากไม่ใช่ เรา ?
            พระองค์ทรงต้องการ คนที่พระองค์สามารถมอบความจริงและความรักให้ เพื่อนำไปมอบแก่ผู้อื่นต่อไป
            ทำไมคน ๆ นั้นจะเป็นเราไม่ได้ ?
            อย่าวิตกกังวลว่าผู้ที่รอคอยความจริงและความรักจากเรามีอยู่มากมาย  ลำพังเราคนเดียวจะไปทำอะไรได้
           ลืมไปแล้วหรือว่าบรรดาศิษย์เคยทูลพระองค์ว่า ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น จะพอเลี้ยง ผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก ได้ละหรือ ? (มธ 14:17, 21)
            แต่อาศัยสิ่งของเล็กน้อยที่พวกเขานำมามอบแด่พระองค์นี้เอง พระองค์ทรงทำให้เกิดอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่
            ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าพระองค์มิได้ทรงเรียกร้องความยิ่งใหญ่เก่งกาจมากมายจากเรา  ขอเพียงเรามอบสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มีแด่พระองค์  พระองค์ก็สามารถทำกิจการใหญ่หลวงผ่านทางเราได้แล้ว
4.    พระองค์ไม่ทรงฟุ่มเฟือย
      เมื่อ ทุกคนได้กินจนอิ่มแล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง (มธ 14:20)
            สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ต้องไม่มีการทิ้งขว้างให้เสียของเด็ดขาดเพราะแม้พระเจ้าจะทรงประทานทุกสิ่งแก่เราด้วยพระทัยกว้างขวาง  แต่การฟุ่มเฟือยโดยเปล่าประโยชน์เป็นสิ่งที่ผิดเสมอ
            ความใจกว้างของพระเจ้าจึงต้องควบคู่ไปกับการใช้อย่างชาญฉลาดของมนุษย์ !
พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์อย่างไร
หลักการที่เราทุกคนควรยึดถือเมื่อศึกษาอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าคือ อัศจรรย์ไม่ใช่สิ่งที่ ได้เกิดขึ้น เพียงครั้งหนึ่งในอดีต  แต่เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น ทุกเมื่อเชื่อวัน  เพราะอัศจรรย์คือการเผยแสดงอำนาจแห่งความรักของพระเจ้าชั่วกัปชั่วกัลป์
เกี่ยวกับการเลี้ยงอาหารประชาชนจำนวนมาก มีความเป็นไปได้ 3 แนวทางคือ
1.    เป็นการทวีขนมปังและปลา  แนวทางนี้เป็นความเชื่อที่ง่ายแต่อธิบายให้เข้าใจได้ยาก  อีกทั้งเป็นการจำกัดให้การทวีขนมปังและปลาเป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อสองพันปีก่อนและยังไม่เกิดซ้ำอีกจนถึงปัจจุบัน
2.    เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์  แนวทางนี้ถือว่าประชาชนได้รับขนมปังหรือปลาเพียงชิ้นเล็กๆ ที่เป็นเสมือนอาหารฝ่ายวิญญาณจากพระเยซูเจ้าและทำให้พวกเขามีพลังเดินทางกลับบ้าน  เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราร่วมพิธีบูชามิสซาและรับศีลมหาสนิท
3.    เป็นการแบ่งปัน  แนวทางนี้มองว่าด้านหนึ่งเป็นเหตุการณ์ตามธรรมชาติ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นอัศจรรย์จริง ๆ และมีคุณค่าอย่างยิ่งยวด
      ตามแนวทางนี้ สันนิษฐานว่าเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนจะเดินทางไกลจากเมืองต่าง ๆ (มธ 14:13) โดยไม่มีอาหารติดตัวมาด้วย  แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาหิวคือ ความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมนำอาหารออกมากิน เกรงว่าจะต้องแบ่งปันแก่ผู้อื่นจนเหลือไม่พอสำหรับตนเอง
      ต่อเมื่อพระเยซูเจ้าทรงนำอาหารที่พระองค์และบรรดาศิษย์นำติดตัวมา ออกมาแบ่งปันแก่ผู้อื่นนั่นแหละ พวกเขาจึงเริ่มแบ่งปันกันจนทุกคนอิ่มหนำและมีอาหารเหลืออีกด้วย
      หากแนวทางนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อัศจรรย์นี้ก็ไม่ใช่การทวีขนมปังและปลา แต่เป็นการเปลี่ยนมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เป็นมนุษย์ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
     เป็นอัศจรรย์แห่งการเกิดขึ้นของความรักในหัวใจของคนตระหนี่       ถี่เหนียว !
เหตุว่าเมื่อได้สัมผัสพระเยซูเจ้า ความเห็นแก่ตัวก็กลับกลายเป็นความรัก
     ไม่ว่าเราจะเข้าใจอัศจรรย์นี้อย่างไร สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ที่ใดมีพระเยซูเจ้า ที่นั่นมีการพักผ่อนสำหรับผู้เหน็ดเหนื่อยและความอิ่มหนำสำหรับดวงวิญญาณที่หิวกระหาย
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น