William A. Trumm เมืองแคนบี รัฐโอเรกอน
เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ผมรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปช้ามาก ซึ่งตรงข้ามกับเมื่อมีอายุมากขึ้น ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้น ทั้งผมและพี่ชายน้องชายทั้งสองอยู่กับพ่อแม่ในฟาร์มที่เมืองซาเล็ม รัฐโอเรกอน คุณพ่อนอกจากเป็นเกษตรกรแล้วยังทำธุรกิจอื่นด้วย ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (ค.ศ.1929-34) คุณพ่อยังเป็นพ่อค้าซื้อขายรถยนต์ด้วย ทุกครั้งที่คุณแม่เข้าเมือง คุณแม่จะพาผมกับน้องชายไปอยู่ที่ร้านซื้อขายรถยนต์ของคุณพ่อและเราทั้งสองก็จะใช้รถยนต์เป็นที่เล่นซ่อนหากัน!
ปกติทุกค่ำที่บ้านจะสวดสายประคำกันในเทศกาลพระคริสตาคมและเทศกาลมหาพรต ส่วนในเทศกาลอื่นๆ ก็มีการสวดสายประคำกันอยู่บ้างแต่ไม่ได้สวดทุกวัน ผมยังจดจำภาพของตัวเองขณะที่กำลังคุกเข่าสวดเมื่อยังเป็นเด็กอยู่ได้ดี
ระหว่างที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น ผู้คนไม่สามารถหาเงินได้รวมทั้งที่บ้านผมด้วย ความยากลำบากเกิดขึ้นทุกหัวระแหง คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้าและเคยเย็บผ้าทำเสื้อหล่อของพระสงฆ์และชุดเด็กช่วยมิสซานับจำนวนไม่ถ้วนเมื่อไม่มีงานและกิจการซื้อขายรถยนต์ของคุณพ่อก็ไปไม่รอด คุณพ่อจึงเปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อค้าขายม้าแทน และที่สุดเปลี่ยนเป็นพ่อค้าขายแกะเพื่อเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ
สัปดาห์ที่ผมยังจำได้ไม่มีวันลืมก็เกิดขึ้นในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นี้ ขณะนั้นครอบครัวของเราเหลือเวลาอยู่ในบ้านอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะถูกยึด พวกเราทราบดีว่าหากไม่เกิดอัศจรรย์กับเราในเร็ววันละก็ พวกเราจะไม่มีบ้านอยู่กันอย่างแน่นอนเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถหาเงินมาผ่อนค่างวดส่งบ้านได้อีก ตลอดสัปดาห์นั้น หลังอาหารเย็นคุณแม่ให้พวกเราทุกคนคุกเข่าสวดสายประคำก่อนนอนทุกคืน
ผมลุกขึ้นไปเปิดประตู ชายที่เคาะประตูถามหาคุณพ่อและบอกท่านว่า “หลายปีก่อน ผมซื้อรถของคุณไปคันหนึ่ง และยังเป็นหนี้คุณอยู่อีก 10 ดอลล่าร์ซึ่งผมจะขอใช้ให้ในตอนนี้”
เสียงเคาะประตูในค่ำวันนั้นช่างเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่พวกเราเคยได้ยิน! เพราะเงิน 10 ดอลล่าร์ที่คนแปลกหน้านำมาชำระหนี้ให้เราในคืนนั้นทำให้บ้านของเรารอดจากการถูกยึดได้อย่างหวุดหวิดที่สุด
** แปลจากหนังสือ “101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “A Knock at the Door”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น