อาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 22:1-14 หรือ 1-10
(1)พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า (2)“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส (3)ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา (4)พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ (5)แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ (6)คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย (7)กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย (8)แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ (9)จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ (10)บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส (11)กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ (12)จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง (13)กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง (14)เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’”
พระวรสารตอนนี้ประกอบด้วยอุปมา 2 เรื่องคือเรื่องงานวิวาหมงคล (มธ 22:1-10) และเรื่องแขกรับเชิญไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ (มธ 22:11-14)
1. งานวิวาหมงคล
เมื่อมีงานฉลองสำคัญอย่างเช่นงานวิวาหมงคล เป็นธรรมเนียมของชาวยิวที่เจ้าภาพจะเชิญแขกล่วงหน้าโดยยังไม่กำหนดวันและเวลา ต่อเมื่อทุกสิ่งพร้อมแล้วจึงส่งคนไปเรียกแขกที่เชิญไว้ให้มาร่วมงาน
กษัตริย์ในอุปมาก็ทรงกระทำเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเชิญแขกมาร่วมงานอภิเษกสมรสของพระโอรสไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่องานเลี้ยงพร้อมจึง “ส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาร่วมงานวิวาห์” (มธ 22:3) แต่กลับได้รับการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
เป้าหมายประการแรกของอุปมาเรื่องนี้คือการตำหนิชาวยิวว่าเป็นแขกรับเชิญซึ่งปฏิเสธที่จะมาร่วมงานวิวาหมงคล นานมาแล้วที่พระเจ้าทรงเชิญพวกเขาให้เป็นประชากรของพระองค์ กระนั้นก็ตามเมื่อพระบุตรของพระองค์เสด็จมาและเชิญพวกเขาให้ติดตามพระองค์ พวกเขากลับดูหมิ่นและปฏิเสธพระองค์
ผลที่ตามมาก็คือคำเชิญถูกส่งไปยังทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ตามทางหลวงหรือทางแยก ไม่ว่าจะเป็นคนบาปหรือคนต่างชาติ ให้มาร่วมงานวิวาหมงคลในพระอาณาจักรของพระองค์
ส่วนผลของผู้ที่ปฏิเสธพระองค์นั้นน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก มัทธิวเล่าว่า “กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย” (มธ 22:7)
อันที่จริงการส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรและเผาเมืองนั้นไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับงานวิวาห์ จึงเชื่อกันว่ามัทธิว ซึ่งเขียนพระวรสารราว 10-20 ปีหลังจากโรมส่งกองทัพมาทำลายและเผากรุงเยรูซาเล็มจนราบเป็นหน้ากลองในปี ค.ศ. 70 ได้เพิ่มข้อความนี้เข้ามาในอุปมาของพระเยซูเจ้าเพื่อแสดงถึงความน่ากลัวสุดประมาณของการปฏิเสธพระองค์ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะหากชาวยิวยอมรับหนทางของพระองค์ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก ความถ่อมตน และการเสียสละ พวกเขาคงไม่ก่อการกบฏและยั่วยุจนโรมไม่อาจอดกลั้น และจำต้องส่งกองทัพมาปราบปรามจนชาวยิวสิ้นชาติไปในที่สุด
ชีวิตของชาวยิวจะดีกว่านี้มากสักเพียงใด หากพวกเขายอมรับพระเยซูเจ้า !
นอกจากตำหนิชาวยิวแล้ว อุปมาเรื่องงานวิวาหมงคลยังเตือนใจเราว่า
1. พระเจ้าทรงเชิญเรามาร่วมงานปีติยินดี ดุจดังร่วมงานวิวาหมงคล
ผู้ที่คิดว่าศาสนาคริสต์เป็นอะไรที่มืดมน ต้องงดเสียงหัวเราะ งดความสุข งดความร่าเริงแจ่มใส จึงเข้าใจธรรมชาติของศาสนาคริสต์ผิดพลาดไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะเราคริสตชนได้รับเชิญให้มาร่วมความปีติยินดี และเป็นความปีติยินดีนี้เองที่เราจะต้องสูญเสียไปหากปฏิเสธพระองค์
2. สิ่งที่ทำให้เราปฏิเสธพระองค์ ไม่จำต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป
ในอุปมา พวกเขาปฏิเสธคำเชิญ ไม่ใช่เพราะมัวดื่มสุราหัวราน้ำหรือหลบไปทำสิ่งผิดศีลธรรม แต่เพราะ “คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ” (มธ 22:5) ซึ่งล้วนเป็นสิ่งดีทั้งนั้น
เป็นความจริงว่า “คู่แข่งของคนสอบได้ที่หนึ่งคือคนสอบได้ที่สอง” เช่นเดียวกับ “คู่แข่งของสิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีที่สุดอันดับสอง” และน่าเศร้าที่มักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอันดับสองนี้เองที่ทำให้เราพลัดพรากจากสิ่งที่ดีที่สุด
- เรามักวุ่นวายอยู่กับสิ่งของในโลกนี้ที่ขึ้นอยู่กับเวลา จนลืมคิดถึงโลกหน้าซึ่งเป็นนิรันดร์
- เรามักติดพันอยู่กับสิ่งของในโลกนี้ที่มองเห็นได้ จนลืมคิดถึงสิ่งของในโลกหน้าซึ่งไม่อาจมองเห็นได้
- เรามักฟังเสียงเรียกร้องที่แสนจะก้าวร้าวของโลกนี้ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของพระเยซูเจ้า
- เรามักทำงานและทุ่มเทต่อสู้เพื่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่กลับปล่อยให้ “ชีวิต” ของตนเองตกต่ำลง !
3. ผลของการปฏิเสธคือ “พลาด”
ในอุปมา ผู้ที่ปฏิเสธคำเชิญ “พลาด” ความยินดีของงานวิวาหมงคล
เช่นเดียวกัน หากปฏิเสธพระเยซูเจ้า สักวันหนึ่งเราจะเจ็บปวดสุดขีด ไม่ใช่เพราะถูกลงโทษ แต่เพราะ “พลาด” สิ่งที่มีค่ามากที่สุด
4. คำเชิญของพระเจ้าคือพระหรรษทาน
บรรดาผู้ที่อยู่ตามทางแยกไม่มีสิทธิแม้แต่จะคิดว่าตนสมควรได้รับเชิญจากพระมหากษัตริย์ให้มาร่วมงานวิวาหมงคล
เราก็ไม่สมควรและไม่มีสิทธิเรียกร้องคำเชิญใด ๆ ทั้งสิ้นจากพระเจ้า แต่คำเชิญนี้เป็นของประทานจากพระเจ้าผู้ทรงมีน้ำพระทัยเปิดกว้างและทรงกางพระกรต้อนรับเราอยู่เสมอ
คำเชิญสู่อาณาจักรสวรรค์เป็นพระหรรษทานจริง ๆ !!
2. แขกรับเชิญไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์
อุปมาเรื่องนี้ได้มาจากนิทานเปรียบเทียบของรับบี 2 เรื่องซึ่งชาวยิวคุ้นเคยกันดี โดยพระเยซูเจ้าทรงนำมาเล่าใหม่ให้ต่อเนื่อง และช่วยขยายความอุปมาเรื่องงานวิวาหมงคล
พวกรับบีเล่าว่า กษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงเชิญแขกมาร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ได้บอกวันและเวลาแต่ทรงสั่งให้อาบน้ำ ชโลมน้ำมัน และสวมเสื้อสำหรับงานเลี้ยงให้พร้อม แขกรับเชิญที่ฉลาดเชื่อว่างานเลี้ยงในวังสามารถจัดเตรียมได้อย่างรวดเร็ว จึงแต่งตัว เตรียมพร้อม และไปรอที่หน้าประตูพระราชวัง ส่วนคนโง่คิดว่างานใหญ่ระดับนี้ต้องใช้เวลาจัดเตรียมนาน ยังคงมีเวลาเหลือเฟือ จึงสลวนอยู่กับหน้าที่การงานของตนโดยไม่เตรียมตัวให้พร้อม ทันใดนั้น โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า กษัตริย์ทรงเรียกแขกรับเชิญ คนฉลาดให้นั่งโต๊ะกินและดื่มร่วมกับกษัตริย์ ส่วนคนโง่ซึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานเลี้ยงต้องยืนอยู่ข้างนอก หิว และเสียใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความปีติยินดีที่ตัวเองต้องสูญเสียไป
เจตนาของรับบีคือสอนให้ผู้ฟังตระหนักถึงหน้าที่ในการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียกของพระเจ้า และเสื้อสำหรับงานเลี้ยงคือสิ่งที่ทุกคนต้องจัดเตรียม
เรื่องที่สองเกี่ยวกับกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงมอบชุดพระราชทานแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คนฉลาดนำชุดพระราชทานไปเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ส่วนคนโง่ใส่ชุดพระราชทานไปทำงานจนมีรอยเปื้อนเต็มไปหมด อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์ทรงเรียกชุดที่ได้พระราชทานไปกลับคืน คนฉลาดนำชุดเหมือนใหม่มาคืน กษัตริย์เก็บชุดไว้ในพระคลังและทรงอวยพรให้พวกเขากลับไปเป็นสุข ส่วนคนโง่นำชุดที่เปรอะเปื้อนมาคืน กษัตริย์ทรงกริ้วและสั่งให้นำคนเหล่านี้ไปขังคุก
รับบีเล่านิทานเรื่องนี้เพื่อสอนชาวยิวให้นำดวงวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมไปถวายคืนแด่พระเจ้า หาไม่แล้วจะถูกลงโทษ
รวมความว่าทุกคนต้องเตรียมพร้อมด้วยการสวมใส่ดวงวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ !
พระเยซูเจ้าทรงนำนิทานเปรียบเทียบของรับบีมาเล่าใหม่ เพื่อสอนเราว่า
1. ประตูสวรรค์เปิดเพื่อให้เราเป็นคนดี ในเมื่อกษัตริย์ทรงส่งผู้รับใช้ไปเชิญทุกคนทั้งตามทางหลวงและทางแยก ย่อมหมายความว่าประตูอาณาจักรสวรรค์เปิดต้อนรับทุกคน “ทั้งคนเลวและคนดี” (มธ 22:10) ทั้งคนต่างชาติและต่างศาสนา
กระนั้นก็ตาม แม้ประตูสวรรค์จะเปิดต้อนรับทุกคน แต่ผู้รับเชิญจะเข้ามาในงานเลี้ยงโดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ไม่ได้ฉันใด เราจะเข้ามาเป็นคริสตชนโดยดำเนินชีวิตแบบเดิมซึ่งไม่สมกับความรักและพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เราไม่ได้ฉันนั้น
เราจำเป็นต้องสวมชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และดีกว่าเดิม
ประตูไม่ได้เปิดเพื่อให้คนบาปเข้ามาแล้วยังคงเป็นคนบาป แต่เพื่อให้คนบาปเข้ามาแล้วเป็นนักบุญ !!
2. อาภรณ์แห่งจิตใจ แน่นอนว่าเราคงไม่ใส่ชุดตัดหญ้าไปเยี่ยมเพื่อนของเรา เพราะถึงแม้เขาจะไม่ถือสา แต่การแต่งกายของเรามันบ่งบอกว่าเราให้ความเคารพรัก และยกย่องให้เกียรติเพื่อนของเรามากน้อยเพียงใด
การแต่งกายไปหาพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน !
เพียงแต่พระเยซูเจ้าไม่ได้หมายถึง “เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย” แต่ทรงหมายถึง “จิตใจ” ที่เราสวมใส่ไปวัด
พระองค์ไม่ต้องการดู “แฟชั่น” แต่ทรงปรารถนาเห็นเราสวมใส่ “อาภรณ์แห่งจิตใจและวิญญาณ”
- อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยความเชื่อ - อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยความหวัง
- อาภรณ์ที่สุภาพถ่อมตนและสำนึกผิด - อาภรณ์แห่งความเคารพสักการะ
เหล่านี้คืออาภรณ์ที่เราควรสวมใส่ไปหาพระเจ้าเพื่อนมัสการพระองค์ !
หาไม่แล้ว “ผู้รับเชิญจะมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย” !!! (มธ 22:14)
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น