วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2011

อาทิตย์ที่ 28  เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2011 )


รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 22:1-14 หรือ 1-10
(1)พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า  (2)อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส  (3)ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา  (4)พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว  ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด  (5)แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ  (6)คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย  (7)กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย  (8)แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้  (9)จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด  (10)บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส  (11)กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์  (12)จึงตรัสแก่เขาว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร คนนั้นก็นิ่ง  (13)กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง  (14)เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’”
              พระวรสารตอนนี้ประกอบด้วยอุปมา 2 เรื่องคือเรื่องงานวิวาหมงคล (มธ 22:1-10)  และเรื่องแขกรับเชิญไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ (มธ 22:11-14)
1. งานวิวาหมงคล
       เมื่อมีงานฉลองสำคัญอย่างเช่นงานวิวาหมงคล เป็นธรรมเนียมของชาวยิวที่เจ้าภาพจะเชิญแขกล่วงหน้าโดยยังไม่กำหนดวันและเวลา ต่อเมื่อทุกสิ่งพร้อมแล้วจึงส่งคนไปเรียกแขกที่เชิญไว้ให้มาร่วมงาน
       กษัตริย์ในอุปมาก็ทรงกระทำเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเชิญแขกมาร่วมงานอภิเษกสมรสของพระโอรสไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่องานเลี้ยงพร้อมจึง ส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาร่วมงานวิวาห์ (มธ 22:3) แต่กลับได้รับการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
       เป้าหมายประการแรกของอุปมาเรื่องนี้คือการตำหนิชาวยิวว่าเป็นแขกรับเชิญซึ่งปฏิเสธที่จะมาร่วมงานวิวาหมงคล  นานมาแล้วที่พระเจ้าทรงเชิญพวกเขาให้เป็นประชากรของพระองค์  กระนั้นก็ตามเมื่อพระบุตรของพระองค์เสด็จมาและเชิญพวกเขาให้ติดตามพระองค์ พวกเขากลับดูหมิ่นและปฏิเสธพระองค์
ผลที่ตามมาก็คือคำเชิญถูกส่งไปยังทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ตามทางหลวงหรือทางแยก ไม่ว่าจะเป็นคนบาปหรือคนต่างชาติ ให้มาร่วมงานวิวาหมงคลในพระอาณาจักรของพระองค์
       ส่วนผลของผู้ที่ปฏิเสธพระองค์นั้นน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก มัทธิวเล่าว่า กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย (มธ 22:7)
       อันที่จริงการส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรและเผาเมืองนั้นไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับงานวิวาห์  จึงเชื่อกันว่ามัทธิว ซึ่งเขียนพระวรสารราว 10-20 ปีหลังจากโรมส่งกองทัพมาทำลายและเผากรุงเยรูซาเล็มจนราบเป็นหน้ากลองในปี ค.ศ. 70  ได้เพิ่มข้อความนี้เข้ามาในอุปมาของพระเยซูเจ้าเพื่อแสดงถึงความน่ากลัวสุดประมาณของการปฏิเสธพระองค์  ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะหากชาวยิวยอมรับหนทางของพระองค์ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก ความถ่อมตน และการเสียสละ  พวกเขาคงไม่ก่อการกบฏและยั่วยุจนโรมไม่อาจอดกลั้น และจำต้องส่งกองทัพมาปราบปรามจนชาวยิวสิ้นชาติไปในที่สุด
       ชีวิตของชาวยิวจะดีกว่านี้มากสักเพียงใด หากพวกเขายอมรับพระเยซูเจ้า !

       นอกจากตำหนิชาวยิวแล้ว อุปมาเรื่องงานวิวาหมงคลยังเตือนใจเราว่า
       1.    พระเจ้าทรงเชิญเรามาร่วมงานปีติยินดี ดุจดังร่วมงานวิวาหมงคล
              ผู้ที่คิดว่าศาสนาคริสต์เป็นอะไรที่มืดมน ต้องงดเสียงหัวเราะ งดความสุข งดความร่าเริงแจ่มใส จึงเข้าใจธรรมชาติของศาสนาคริสต์ผิดพลาดไปอย่างสิ้นเชิง
              เพราะเราคริสตชนได้รับเชิญให้มาร่วมความปีติยินดี และเป็นความปีติยินดีนี้เองที่เราจะต้องสูญเสียไปหากปฏิเสธพระองค์
       2.    สิ่งที่ทำให้เราปฏิเสธพระองค์ ไม่จำต้องเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป
              ในอุปมา พวกเขาปฏิเสธคำเชิญ ไม่ใช่เพราะมัวดื่มสุราหัวราน้ำหรือหลบไปทำสิ่งผิดศีลธรรม แต่เพราะ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ (มธ 22:5) ซึ่งล้วนเป็นสิ่งดีทั้งนั้น
              เป็นความจริงว่า คู่แข่งของคนสอบได้ที่หนึ่งคือคนสอบได้ที่สอง เช่นเดียวกับ คู่แข่งของสิ่งที่ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ดีที่สุดอันดับสอง  และน่าเศร้าที่มักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอันดับสองนี้เองที่ทำให้เราพลัดพรากจากสิ่งที่ดีที่สุด
              - เรามักวุ่นวายอยู่กับสิ่งของในโลกนี้ที่ขึ้นอยู่กับเวลา จนลืมคิดถึงโลกหน้าซึ่งเป็นนิรันดร์
              - เรามักติดพันอยู่กับสิ่งของในโลกนี้ที่มองเห็นได้ จนลืมคิดถึงสิ่งของในโลกหน้าซึ่งไม่อาจมองเห็นได้
              - เรามักฟังเสียงเรียกร้องที่แสนจะก้าวร้าวของโลกนี้ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของพระเยซูเจ้า
              - เรามักทำงานและทุ่มเทต่อสู้เพื่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่กลับปล่อยให้ ชีวิต ของตนเองตกต่ำลง !
       3.    ผลของการปฏิเสธคือ พลาด
              ในอุปมา ผู้ที่ปฏิเสธคำเชิญ พลาด ความยินดีของงานวิวาหมงคล
              เช่นเดียวกัน หากปฏิเสธพระเยซูเจ้า สักวันหนึ่งเราจะเจ็บปวดสุดขีด ไม่ใช่เพราะถูกลงโทษ แต่เพราะ พลาด สิ่งที่มีค่ามากที่สุด
       4.    คำเชิญของพระเจ้าคือพระหรรษทาน
       บรรดาผู้ที่อยู่ตามทางแยกไม่มีสิทธิแม้แต่จะคิดว่าตนสมควรได้รับเชิญจากพระมหากษัตริย์ให้มาร่วมงานวิวาหมงคล
              เราก็ไม่สมควรและไม่มีสิทธิเรียกร้องคำเชิญใด ๆ ทั้งสิ้นจากพระเจ้า แต่คำเชิญนี้เป็นของประทานจากพระเจ้าผู้ทรงมีน้ำพระทัยเปิดกว้างและทรงกางพระกรต้อนรับเราอยู่เสมอ
              คำเชิญสู่อาณาจักรสวรรค์เป็นพระหรรษทานจริง ๆ !!

2. แขกรับเชิญไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์
       อุปมาเรื่องนี้ได้มาจากนิทานเปรียบเทียบของรับบี 2 เรื่องซึ่งชาวยิวคุ้นเคยกันดี โดยพระเยซูเจ้าทรงนำมาเล่าใหม่ให้ต่อเนื่อง    และช่วยขยายความอุปมาเรื่องงานวิวาหมงคล
       พวกรับบีเล่าว่า กษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงเชิญแขกมาร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ได้บอกวันและเวลาแต่ทรงสั่งให้อาบน้ำ ชโลมน้ำมัน และสวมเสื้อสำหรับงานเลี้ยงให้พร้อม  แขกรับเชิญที่ฉลาดเชื่อว่างานเลี้ยงในวังสามารถจัดเตรียมได้อย่างรวดเร็ว จึงแต่งตัว เตรียมพร้อม และไปรอที่หน้าประตูพระราชวัง  ส่วนคนโง่คิดว่างานใหญ่ระดับนี้ต้องใช้เวลาจัดเตรียมนาน ยังคงมีเวลาเหลือเฟือ จึงสลวนอยู่กับหน้าที่การงานของตนโดยไม่เตรียมตัวให้พร้อม   ทันใดนั้น โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า กษัตริย์ทรงเรียกแขกรับเชิญ  คนฉลาดให้นั่งโต๊ะกินและดื่มร่วมกับกษัตริย์  ส่วนคนโง่ซึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานเลี้ยงต้องยืนอยู่ข้างนอก หิว และเสียใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความปีติยินดีที่ตัวเองต้องสูญเสียไป
       เจตนาของรับบีคือสอนให้ผู้ฟังตระหนักถึงหน้าที่ในการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียกของพระเจ้า และเสื้อสำหรับงานเลี้ยงคือสิ่งที่ทุกคนต้องจัดเตรียม
       เรื่องที่สองเกี่ยวกับกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงมอบชุดพระราชทานแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์  คนฉลาดนำชุดพระราชทานไปเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี  ส่วนคนโง่ใส่ชุดพระราชทานไปทำงานจนมีรอยเปื้อนเต็มไปหมด  อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์ทรงเรียกชุดที่ได้พระราชทานไปกลับคืน  คนฉลาดนำชุดเหมือนใหม่มาคืน กษัตริย์เก็บชุดไว้ในพระคลังและทรงอวยพรให้พวกเขากลับไปเป็นสุข  ส่วนคนโง่นำชุดที่เปรอะเปื้อนมาคืน กษัตริย์ทรงกริ้วและสั่งให้นำคนเหล่านี้ไปขังคุก
       รับบีเล่านิทานเรื่องนี้เพื่อสอนชาวยิวให้นำดวงวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมไปถวายคืนแด่พระเจ้า หาไม่แล้วจะถูกลงโทษ
       รวมความว่าทุกคนต้องเตรียมพร้อมด้วยการสวมใส่ดวงวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ !
       พระเยซูเจ้าทรงนำนิทานเปรียบเทียบของรับบีมาเล่าใหม่ เพื่อสอนเราว่า
       1.    ประตูสวรรค์เปิดเพื่อให้เราเป็นคนดี  ในเมื่อกษัตริย์ทรงส่งผู้รับใช้ไปเชิญทุกคนทั้งตามทางหลวงและทางแยก ย่อมหมายความว่าประตูอาณาจักรสวรรค์เปิดต้อนรับทุกคน ทั้งคนเลวและคนดี (มธ 22:10) ทั้งคนต่างชาติและต่างศาสนา
              กระนั้นก็ตาม แม้ประตูสวรรค์จะเปิดต้อนรับทุกคน  แต่ผู้รับเชิญจะเข้ามาในงานเลี้ยงโดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ไม่ได้ฉันใด  เราจะเข้ามาเป็นคริสตชนโดยดำเนินชีวิตแบบเดิมซึ่งไม่สมกับความรักและพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เราไม่ได้ฉันนั้น
เราจำเป็นต้องสวมชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และดีกว่าเดิม
              ประตูไม่ได้เปิดเพื่อให้คนบาปเข้ามาแล้วยังคงเป็นคนบาป แต่เพื่อให้คนบาปเข้ามาแล้วเป็นนักบุญ !!
       2.    อาภรณ์แห่งจิตใจ  แน่นอนว่าเราคงไม่ใส่ชุดตัดหญ้าไปเยี่ยมเพื่อนของเรา เพราะถึงแม้เขาจะไม่ถือสา แต่การแต่งกายของเรามันบ่งบอกว่าเราให้ความเคารพรัก และยกย่องให้เกียรติเพื่อนของเรามากน้อยเพียงใด
              การแต่งกายไปหาพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน !
              เพียงแต่พระเยซูเจ้าไม่ได้หมายถึง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่ทรงหมายถึง จิตใจ ที่เราสวมใส่ไปวัด
              พระองค์ไม่ต้องการดู แฟชั่น  แต่ทรงปรารถนาเห็นเราสวมใส่ อาภรณ์แห่งจิตใจและวิญญาณ
              - อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยความเชื่อ           - อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยความหวัง
              - อาภรณ์ที่สุภาพถ่อมตนและสำนึกผิด    - อาภรณ์แห่งความเคารพสักการะ
              เหล่านี้คืออาภรณ์ที่เราควรสวมใส่ไปหาพระเจ้าเพื่อนมัสการพระองค์ !
              หาไม่แล้ว ผู้รับเชิญจะมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย !!! (มธ 22:14)
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น