อาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 21:33-43
(33)“ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง (34)เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต (35)แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง (36)เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน (37)ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ (38)แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ (39)“เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย (40)ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” (41)บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” (42)พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้นได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก (43) “ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
ชาวยิวเข้าใจความหมายของรายละเอียดในอุปมาเรื่อง “คนเช่าสวนชั่วร้าย” เป็นอย่างดีเพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยและพบเห็นเป็นประจำ อีกทั้งเป้าหมายของอุปมาก็ชัดเจนว่า “เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา” (มธ 21:45)
ชนชาติยิวคือ “สวนองุ่น” ของพระเจ้าตามคำของประกาศกอิสยาห์ที่ว่า “สวนองุ่นของพระยาเวห์ผู้ทรงฤทธิ์คือวงศ์วานอิสราเอล” (อสย 5:7)
“รั้ว” ล้อมสวนเป็นต้นไม้เตี้ย ทึบ และมีหนามเพื่อป้องกันหมูป่าและขโมยเข้ามาทำลายหรือขโมยองุ่น
สวนองุ่นแต่ละแห่งประกอบด้วย “บ่อย่ำองุ่น” อย่างน้อยสองบ่อ อาจก่อด้วยอิฐหรือเจาะหินให้เป็นบ่อก็ได้ โดยบ่อหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกบ่อหนึ่งเล็กน้อย บ่อที่สูงกว่าใช้สำหรับย่ำองุ่น ส่วนบ่อที่ต่ำกว่าใช้รองรับน้ำองุ่นที่ไหลมาตามรางซึ่งเชื่อมระหว่างบ่อทั้งสอง
“หอเฝ้า” มีไว้เฝ้าขโมยและใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนสวน
การสร้างสวนให้ผู้อื่น “เช่า” เป็นสิ่งที่คหบดีนิยมกระทำกัน เพราะบ้านเมืองยามนั้นคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม สิ่งอำนวยความสะดวกมีน้อย พวกเขาจึงลงทุนแล้วหลบหนีไปอาศัยในเมืองอื่นที่ปลอดภัยกว่าและสะดวกสบายมากกว่าแล้วส่งคนมาเก็บค่าเช่าตามกำหนด ซึ่งอาจจ่ายเป็นเงินหรือเป็นผลผลิตก็ได้สุดแล้วแต่จะตกลงกัน
นอกจากไฟสงครามแล้ว บ้านเมืองยังเต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจซึ่งสร้างความคับแค้นใจให้แก่ชนชั้นแรงงานอย่างมากจนถึงขั้น “จับทายาทของเศรษฐีฆ่า” ก็ปรากฏให้เห็น
จากรายละเอียดที่กล่าวมา เราสามารถสรุปสิ่งที่อุปมาต้องการหมายถึง ได้ดังนี้
สวนองุ่นคือชนชาติอิสราเอล เจ้าของสวนคือพระเจ้า คนเช่าสวนคือบรรดาผู้นำทางศาสนาของชาวอิสราเอลซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผู้รับใช้ที่เจ้าของสวนส่งไปเป็นระยะๆ คือบรรดาประกาศกซึ่งชาวยิวไม่ต้อนรับบ้าง ฆ่าทิ้งบ้าง หรือเอาหินทุ่มบ้าง ที่สุดบุตรของเจ้าของสวนก็คือพระเยซูเจ้านั่นเอง
อุปมาเรื่องนี้นอกจากเป็นการนำประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลมาตีแผ่แล้ว ยังเป็นการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับเรามนุษย์ และเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเองด้วย
เกี่ยวกับพระเจ้า
1. พระองค์ทรงวางใจมนุษย์ เจ้าของสวนวางใจคนเช่าและมอบหมายให้ดูแลสวนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดโดยไม่คิดจะกำกับ สั่งการ หรือส่งคนมาตรวจสอบเลย
เราจึงต้องระลึกอยู่เสมอว่าการงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ผลของกรรมเก่าหรือบาปกำเนิด แต่เป็นเกียรติสูงสุดที่พระเจ้าทรงวางใจจนกล้ามอบหมายหน้าที่แก่เรา
2. พระองค์ทรงอดกลั้น แม้ผู้รับใช้จะถูกทุบตี ฆ่า หรือถูกหินทุ่มอย่างโหดเหี้ยมทารุณคนแล้วคนเล่า แต่แทนที่เจ้าของสวนจะตอบโต้ทันทีที่ผู้รับใช้คนแรกถูกทำร้าย พระองค์กลับอดกลั้น ให้โอกาส อีกทั้งทรงเฝ้ารอเรากลับมาหาพระองค์
พระองค์ช่างทรงเมตตาเราเสียนี่กระไร ?!
3. พระองค์จะทรงพิพากษา แม้ทรงเปี่ยมด้วยความอดกลั้น แต่ชาวยิวก็รู้ดีว่าที่สุดแล้วความยุติธรรมย่อมเรียกร้องให้ “เจ้าของสวนกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” (มธ 21:40)
การยกสวนให้คนอื่นเช่าคือการพิพากษาลงโทษที่หนักหน่วงที่สุด !
หากเราเพิกเฉยต่อหน้าที่ พระองค์จะทรงกระทำเช่นเดียวกัน นั่นคือยกหน้าที่ของเราให้ผู้อื่นทำแทนซึ่งเป็นโทษหนักที่สุด เพราะเรากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ต่อหน้าพระเจ้า ซึ่งจะทำให้ชีวิตของเรามีแต่ดำดิ่งสู่ความตกต่ำไม่มีที่สิ้นสุด
เกี่ยวกับมนุษย์
1. มนุษย์ได้รับสิทธิพิเศษ เจ้าของตระเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับทำสวนองุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมดิน ปลูกองุ่น ล้อมรั้ว ขุดบ่อย่ำองุ่น รวมถึงสร้างหอเฝ้าให้คนเช่าพร้อมใช้ประโยชน์ได้ทันที
หมายความว่าพระเจ้าไม่เพียงมอบหมายหน้าที่การงานแก่เราเท่านั้น แต่ยังทรงโปรดประทานทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ที่ทรงมอบหมายอีกด้วย
เราช่างได้รับอภิสิทธิ์มากมายจริง ๆ จากพระองค์ !
2. มนุษย์มีเสรีภาพ เจ้าของปล่อยให้คนเช่าทำสวนตามแบบที่เขาต้องการ ซึ่งเท่ากับว่าพระเจ้าไม่ทรงเป็นเผด็จการ แต่ทรงเป็นเสมือนผู้จัดการชาญฉลาดที่มอบหมายภารกิจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน แล้ววางใจให้แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกวิธีปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงตามความถนัดของตนเอง
3. มนุษย์ต้องรับผิดชอบ เมื่อถึงกำหนดเวลา เจ้าของส่งผู้รับใช้มาเก็บค่าเช่าฉันใด พระเจ้าจะทรงชำระสะสางบัญชีกับเราแต่ละคนสักวันหนึ่งฉันนั้น
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเพิ่มความรับผิดชอบต่อผลงานและวิธีการที่เราเลือกใช้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
4. มนุษย์จงใจทำบาป “เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’” (มธ 21:45) นี่คือการวางแผนทรยศเจ้าของสวนโดยจงใจ
บาปคือการทรยศพระเจ้า
บาปคือการจงใจอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า
บาปคือการจงใจเดินตามหนทางของเราเองทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าหนทางของพระเจ้าเป็นเช่นใด
ทำไมเราจึงจงใจเป็นเหมือนคนเช่าสวนชั่วร้ายอีกเล่า !?!
เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า
1. พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า ในอุปมา พระเยซูเจ้าทรงแยกพระองค์เองออกจากบรรดาประกาศกก่อนหน้าพระองค์อย่างชัดเจน ในฐานะผู้นำสารของพระเจ้า ประกาศกเหล่านี้ทรงเกียรติและยิ่งใหญ่มากก็จริง แต่ พวกท่านเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า มีพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
แม้ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาประกาศกก็ไม่อาจมีสถานภาพเสมอเหมือนพระองค์
2. พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา อุปมาเรื่องนี้บ่งบอกชัดเจนว่าพระองค์ทรงรับรู้ล่วงหน้าว่าจะสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของคนชั่ว พระองค์ไม่เคยสงสัยเลยว่าความตายกำลังรอพระองค์อยู่เบื้องหน้า
พระองค์ไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะจนมุม แต่ทรงเต็มพระทัยเดินหน้าสู่ความตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา
กระนั้นก็ตาม แม้จะตระหนักถึงความตายที่รออยู่เบื้องหน้า พระองค์ยังทรงอ้างข้อความจากเพลงสดุดีด้วยความมั่นพระทัยว่า “หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้นได้กลายเป็นศิลาหัวมุม” (มธ 21:42)
“ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป” (สดด 118:22) ตามความหมายของผู้แต่งเพลงสดุดีคือชนชาติอิสราเอล ซึ่งถูกชนชาติอื่นละทิ้ง ดูหมิ่น และเกลียดชัง พวกเขาพ่ายแพ้และตกเป็นทาสรับใช้ชนหลายชาติ แต่ไม่ว่าจะตกต่ำเพียงใดพวกเขายังคงเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
ส่วน “หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น” (มธ 21:42) พระองค์ทรงหมายถึงพระองค์เอง แม้มนุษย์จะปฏิเสธพระองค์ ละทิ้งพระองค์ หรือกำจัดพระองค์ แต่สักวันหนึ่งพระองค์จะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุด
เพราะบุคคลที่ถูกละทิ้งและถูกตรึงตายอยู่บนไม้กางเขนนั้นคือ กษัตริย์และผู้พิพากษาของมวลมนุษยชาติ !
แล้วเรายังจะ “เลือกข้าง” คนเช่าสวนชั่วร้ายอีกหรือ ?!
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น