อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา
( วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี มัทธิว 22:34-40
(34)เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน (35)มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมายได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า (36)“พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า (37) “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน (38) นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก (39) บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (40) ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”
เรามักได้ยินชื่อฟาริสีและสะดูสีควบคู่กันบ่อยๆ จนคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไปด้วยกันไม่ได้เลย
ในด้านสังคมและการเมือง พวกสะดูสีแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าแต่เป็นชนปกครองชั้นสูงอย่างเช่นมหาสมณะ ซึ่งร่ำรวย แนบแน่น และพร้อมร่วมมือกับโรมเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ ต่างจากพวกฟาริสีซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ในด้านความคิด พวกสะดูสีเปิดใจรับความคิดแบบกรีกมากกว่าแบบยิว
ในด้านความเชื่อ สะดูสีเป็นพวกอนุรักษ์นิยมซึ่งยอมรับพระธรรมเก่าเฉพาะห้าเล่มแรก (ปัญจบรรพ) เท่านั้น ส่วนสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นคำสอนของบรรดาประกาศก บทเพลงสดุดี และกฎระเบียบทั้งที่เล่าสืบทอดกันมาหรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งพวกฟาริสีถือว่าสำคัญดั่งกล่องดวงใจนั้น พวกเขากลับไม่ยอมรับ
เมื่อไม่ยอมรับคำสอนสมัยหลัง พวกสะดูสีจึงไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายเพราะไม่มีข้อความใดในหนังสือปัญจบรรพบอกว่าคนตายจะกลับคืนชีพ
พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามพวกเขาว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระวาจา ที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านหรือว่า เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น” (มธ 22:31-32)
แสดงว่าอับราฮัม อิสอัค และยาโคบคือ “ผู้เป็น”
พระองค์ทรงเป็นอาจารย์ท่านแรกที่นำข้อความจากหนังสือปัญจบรรพมาอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ว่าอับราฮัม อิสอัค และยาโคบได้กลับคืนชีพจากความตายแล้ว
พวกฟาริสีคงนึกชื่นชมพระองค์อยู่ในใจที่ทรงสามารถทำให้ปรปักษ์ทางความคิดอย่างพวกสะดูสี “นิ่งอึ้งไป” (มธ 22:34)
แต่ความชื่นชมนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งความประสงค์ร้ายของพวกเขาได้ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเพื่อหาทางจับผิดพระองค์อีก
คราวนี้พวกเขาส่งบัณฑิตทางกฎหมายมาถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” (มธ 22:36)
พวกเขาถกเถียงกันว่าในบรรดาธรรมบัญญัติที่โมเสสรับจากพระเจ้าบนภูเขาซีนัย และรับบีชัมมัย (Shammai) สอนว่ามี 613 ข้อนั้น ข้อใดสำคัญที่สุด ?
บางคนยืนยันว่าการสวมพู่ห้อยที่ชายเสื้อสำคัญที่สุดเพราะ “เมื่อเห็นพู่ห้อย ท่านจะระลึกถึงบทบัญญัติของพระยาเวห์และจะปฏิบัติตาม ท่านจะไม่หันเหจากเราไปทำตามอำเภอใจและตามความปรารถนาของท่าน ซึ่งจะชักนำท่านให้ทรยศต่อเรา” (กดว 15:39) !
พวกเขาหวังว่าหากดึงพระองค์เข้ามาร่วมวงถกเถียงด้วย บางทีพระองค์อาจเสียทีเสนอทฤษฎีที่ผิดพลาด พวกเขาจะได้กล่าวหาฟ้องร้องพระองค์ฐานหมิ่นประมาทศาสนาได้
แม้จะประสงค์ร้าย แต่ต้องยอมรับว่าคำถามของพวกเขาได้นำไปสู่คำจำกัดความของ “ศาสนา” ที่สมบูรณ์แบบ
สำหรับพระเยซูเจ้า ศาสนาแท้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ
1. รักพระเจ้า องค์ประกอบนี้พระองค์ทรงนำมาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 6 ข้อที่ 5 ซึ่งระบุว่า “ท่านจะต้องรักพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำลังของท่าน”
ข้อความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “เชมา” (Shema แปลว่า “จงฟัง”) ซึ่งประกอบด้วยพระคัมภีร์ 3 ตอนสั้นๆ (ฉธบ 6:4–9; 11:13–21; กดว 15:37–41) อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของความเชื่อในศาสนายิว ชาวยิวอ่าน “เชมา” ก่อนเริ่มพิธีในศาลาธรรม ดุจเดียวกับเราทำสำคัญมหากางเขนก่อนเริ่มพิธีกรรม นอกจากนี้พวกเขายังสวด “เชมา” ทุกเช้าเย็นจนเด็กยิวทุกคนท่องจำได้เป็นอันดับแรก
พระองค์ทรงนำสิ่งที่เป็นแก่นสำคัญของศาสนายิวมาดัดแปลงจาก “สุดกำลัง” เป็น “สุดสติปัญญา” (มธ 22:37) เพื่อเตือนสติพวกฟาริสีให้ลดละการใช้สติปัญญาเพื่อคิดค้นหรือประดิษฐ์กฎระเบียบใหม่ๆ จากธรรมบัญญัติของโมเสส...
...สู้เอาสติปัญญามาคิดรักพระเจ้าไม่ได้ !!
สำหรับพระองค์ สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องทุ่มเทสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา คือ “รักพระเจ้า”
เราต้องทุ่มเท “ความรักทั้งหมด” แด่พระเจ้า...
- ความรักที่มีอำนาจเหนืออารมณ์และความรู้สึกของเรา (สุดจิตใจและ สุดวิญญาณ)
- ความรักที่นำทางความคิดและทัศนคติของเรา (สุดสติปัญญา)
- ความรักที่เป็นพลังขับเคลื่อนการกระทำทั้งปวงของเรา (สุดกำลัง)
ความรักที่ทำให้เรามอบถวายชีวิตของเราแด่พระเจ้านี้เอง ที่พระองค์ตรัสว่า “นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก” (มธ 22:38)
แปลว่า “การรักพระเจ้า” นอกจากจะสำคัญที่สุดเพราะเป็นบัญญัติเอกแล้ว ยังต้องมาก่อนบทบัญญัติอื่นใดทั้งสิ้นอีกด้วย !
2. รักเพื่อนมนุษย์ องค์ประกอบที่สองพระองค์ทรงนำมาจากหนังสือเลวีนิติบทที่ 19 ข้อที่ 18 “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
พระองค์ทรงเปลี่ยน “เพื่อนบ้าน” ซึ่งจำกัดวงอยู่เฉพาะชาวยิวให้เป็น “เพื่อนมนุษย์”
เราต้องรักเพื่อนมนุษย์เพราะความรักต่อพระเจ้าจะแสดงออกได้ก็โดยการรักเพื่อนมนุษย์เท่านั้น นักบุญยอห์นจึงกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดพูดว่า ‘ฉันรักพระเจ้า’ แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้” (1 ยน 4:20)
ขอย้ำอีกครั้งว่าความรักต่อพระเจ้าต้องมาก่อน จึงจะรักเพื่อนมนุษย์ได้ !
เหตุผลคือ “มนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาของพระเจ้า” (ปฐก 1:26, 27) หากไม่รักพระเจ้า เราจะรักมนุษย์ผู้เป็นฉายาของพระองค์ได้อย่างไร ?
ความรักต่อพระเจ้าจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความรักต่อเพื่อนมนุษย์ !
พระเยซูเจ้าจึงเป็นอาจารย์ท่านแรกที่นำ “ความรักต่อพระเจ้า” และ “ความรักต่อเพื่อนมนุษย์” มาเชื่อมสัมพันธ์กัน
ก่อนหน้านี้ พวกฟาริสีรู้จักแต่ “รักพระเจ้า” และ “รักบทบัญญัติ”
เมื่อ “รักเพื่อนมนุษย์” เราจึงเคารพและยอมรับทั้งสิทธิและหน้าที่ของ ผู้อื่นได้
เมื่อสิทธิและหน้าที่ได้รับการยอมรับ ประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นได้
เมื่อมีประชาธิปไตย การตรากฎหมายตามความต้องการของคนส่วนใหญ่จึงเป็นไปได้
ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์จึงเป็นพื้นฐานของกฎหมายอื่นๆ ทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” (มธ 22:40)
เพราะฉะนั้น หากไม่รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ทุกกิจกรรมย่อมขาดพื้นฐานและเป็นได้ก็เพียงการสร้างภาพเท่านั้น !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น