วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2011

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
 ( วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2011 )
รำพึงพระวาจา

พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มาระโก 13:33-37
จงระวังตัวไว้ให้พร้อม
(33)จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร  (34)เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านได้มอบอำนาจให้กับผู้รับใช้  ให้แต่ละคนมีงานของตนและยังสั่งคนเฝ้าประตูให้คอยตื่นเฝ้าไว้  (35) ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร อาจจะมาเวลาค่ำ เวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งเช้า  (36)ถ้าเขากลับมาโดยไม่คาดคิด อย่าให้เขาพบท่านกำลังหลับอยู่  (37)สิ่งที่เราบอกท่าน เราก็บอกทุกคนด้วยว่า จงตื่นเฝ้าเถิด

      มักมีคนเรียกหนังสือพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายคือ วิวรณ์ ว่าเป็นหนังสือ “Apocalypse” ซึ่งหมายถึงหนังสือที่ เปิดเผยเหตุการณ์ในอนาคต
      พระวรสารโดยนักบุญมาระโกบทที่ 13 นี้ก็ได้รับการเรียกขานว่าเป็น “Apocalypse ฉบับย่อ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดเผยเหตุการณ์ในอนาคตโดยพระเยซูเจ้าเอง
      แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในสมัยของพระองค์ไม่สู้ดีนัก  โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างปาเลสไตน์กับโรมกำลังตึงเครียด  เมื่ออ่านพระวรสารตอนนี้เราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า
      1.    การวิจารณ์หรือพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารโดยกองทัพโรมัน
      2.    ภาษาสัญลักษณ์ถูกนำมาใช้เพื่อ เปิดเผย บางสิ่งบางอย่างเท่าที่จะพึงกระทำได้  ไม่ใช่เพื่อ ปิดบัง หรือจงใจทำให้เป็นสิ่งลึกลับ
      3.    เจตนาคือเพื่อทำให้ความเชื่อของเรามั่นคงเข้มแข็งมากขึ้น  ไม่ใช่เพื่อทำให้เราสามารถทำนายหรือคาดเดาอนาคตได้
      สำหรับพระวรสารตอนนี้ พระเยซูเจ้าต้องการสอนเรา 2 ประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ
     1.   ไม่มีใครรู้วันและเวลา
            วันและเวลา ในที่นี้หมายถึง การเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรแห่งมนุษย์ ดังที่ข้อ 26 ได้บรรยายไว้ว่า เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่
            ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ วันสิ้นพิภพ หรือให้แคบเข้ามาหน่อยก็คือ วันตาย ของเราแต่ละคน
            เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า เรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว (ข้อ 32)
            น่าสังเกตว่านี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่า พระบุตร แทนที่จะเป็น บุตรแห่งมนุษย์ เหมือนที่เคยใช้ตามปกติ ซึ่งเท่ากับทรงรับรู้สถานภาพของพระองค์เองว่าทรงเป็นพระเจ้าและเป็นพระบุตรที่ใกล้ชิดกับพระบิดาเป็นอย่างดี
            แต่เมื่อพระองค์ยอมรับเอากายบังเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์ทรงยอมรับข้อจำกัดอันเกิดจากความเป็นมนุษย์ และทรงสุภาพถ่อมตนยอมให้ วันและเวลา เป็นอภิสิทธิ์ของพระบิดาแต่เพียงพระองค์เดียวที่จะล่วงรู้
            แม้แต่พระบุตรเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร ?!
            จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่พวกเราบางคนจะมัวสลวนอยู่กับการค้นคว้าหรือคำนวณหา วันและเวลา ที่แม้พระเยซูเจ้าเองก็ยังปล่อยให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระบิดาเจ้า
            อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่รู้ว่า วันและเวลา จะมาถึงเมื่อไร  แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเน้นย้ำให้เราฟังอยู่เสมอคือ มันมาแน่
     2.   จงระวังและตื่นเฝ้าเถิด
            เพราะไม่รู้ว่าวันและเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร  หนทางเดียวที่เราจะทำได้คือ ระวังและตื่นเฝ้า
            เหมือนผู้รับใช้ที่รู้ดีว่าเจ้าของบ้านจะกลับบ้านแน่ จึงต้องตื่นเฝ้าทำหน้าที่ของตนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาค่ำ (18.00-21.00 น.) เวลาเที่ยงคืน (21.00-24.00 น.) เวลาไก่ขัน (24.00-3.00 น.) หรือเวลารุ่งเช้า (3.00-6.00 น.) ตามระบบเวลาแบบโรมัน
            พระเยซูเจ้าทรงเตือนว่า ถ้าเขากลับมาโดยไม่คาดคิด อย่าให้เขาพบท่านกำลังหลับอยู่ (ข้อ 36)
            คนที่เป็น รปภ. จะรู้ดีว่ามัน หนาว สักเพียงใดเวลานายพบเราหลับยาม !
            หลับ สำหรับพระองค์คือ ไม่เอาใจใส่ดูแลวิญญาณของตนเอง,  ไม่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระเยซู  คริสตเจ้า
           และเพื่อจะ ตื่น อยู่เสมอ  เราต้องทำเช่นเดียวกับผู้รับใช้ที่ได้รับมอบอำนาจและหน้าที่การงานจากเจ้าของบ้าน
          นั่นคือ ทำหน้าที่ประจำวันที่พระเจ้าทรงมอบหมายแก่เราคริสตชนให้สำเร็จและเหมาะสมสำหรับพระองค์จะได้ทอดพระเนตร ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเวลาใดก็ตาม
               
ระหว่างรอ วันเวลา เราไม่จำเป็นต้องกลัวหรือวิตกจริต  แต่จงตื่นเฝ้า......และ....
     จงตื่นเฝ้าเถิด !

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น