วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สารวัด วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2011

สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
 ( วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2011 )
รำพึงพระวาจา
พี่น้องที่รัก
ข่าวดี   มัทธิว 28:16-20

 (16)บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้  (17)เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่  (18)พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่าพระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา (19) เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต (20) จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ
       นักบุญลูกาบันทึกไว้ว่า เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป  ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขากล่าวว่า ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์’” (กจ 1:9-11)
       เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใกล้หมู่บ้านเบธานี (ลก 24:50) ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม บนภูเขามะกอกเทศ (กจ 1:12)
       อย่างไรก็ตาม การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า มิได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองพันปีก่อนที่ลูกาบันทึกไว้เท่านั้น แต่ยังมีความหมายสำคัญและเป็นปัจจุบันทั้งสำหรับพระเยซูเจ้าเองและสำหรับเราคริสตชนทุกคนด้วย....
       สำหรับพระเยซูเจ้า การเสด็จขึ้นสวรรค์เป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระเจ้าตรัสสัญญาไว้ว่า จงประทับทางขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นดังแท่นวางเท้าของท่าน (สดด 110:1) ซึ่งเป็นข้อความจากพระธรรมเก่าที่ได้รับการอ้างอิงถึงมากที่สุดในพระธรรมใหม่
นอกจากนั้น การเสด็จขึ้นสวรรค์ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงได้รับการเทิดทูนเหนือบรรดาวีรบุรุษในพระธรรมเก่าอย่างเช่นกษัตริย์ดาวิดซึ่ง ยังไม่เคยเสด็จขึ้นสวรรค์ (กจ 2:34) และทรงอยู่เหนือทูตสวรรค์ดังที่ผู้นิพนธ์จดหมายถึงชาวฮีบรูตั้งคำถามว่า พระเจ้าตรัสกับทูตสวรรค์องค์ใดบ้างว่า 'เชิญมาประทับ ณ เบื้องขวาของเราเถิด จนกว่าเราจะปราบศัตรูทั้งหมดให้เป็นที่วางเท้าของท่าน'” (ฮบ 1:13) และนักบุญเปโตรเสริมว่า ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งศักดิเทพ และทั้งอิทธิเทพทั้งหลายล้วนอยู่ใต้พระอำนาจของพระองค์ผู้เสด็จสู่สวรรค์และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า (1 ปต 3:22)
       รวมความว่า อาศัยการเสด็จขึ้นสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรง ครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์" (อฟ 4:10) และได้รับ พระนามที่ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น  เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม เยซูนี้  และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟป 2:9-11)
       ทั้งหมดนี้พระองค์ทรงสรุปให้บรรดาอัครสาวกฟังสั้นๆ ว่า พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา (มธ 28:18)
บางคนอาจส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ที่พระองค์ทรงลงเอยด้วยน้ำเน่าเหมือนมนุษย์ทั่วไป คือทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อ อำนาจ นี่เอง
       แต่อำนาจของพระองค์แตกต่างจากอำนาจที่มนุษย์แสวงหาอย่างสิ้นเชิง !
       ตัวอย่างที่เราพบเห็นจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วก็คือพวกนักการเมืองซึ่งพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าสู่วงจรอำนาจ  เริ่มตั้งแต่โกงเลือกตั้ง ซื้อตำแหน่ง แก้กฎหมายเพื่อเพิ่มและคงไว้ซึ่งอำนาจ ฯลฯ เพราะอำนาจทำให้ตัวเขาและพวกพ้อง ได้รับผลประโยชน์
       แต่อำนาจของพระเยซูเจ้าเป็น อำนาจเหนือความตาย และพระองค์ทรงใช้อำนาจนี้มิใช่เพื่อพระองค์เอง แต่ เพื่อช่วยเราทุกคน ให้เอาชนะความตายและมีชีวิตนิรันดรดุจเดียวกับพระองค์
       ในเมื่อความตายพระองค์ยังสามารถพิชิตได้ ยังจะมีอะไรอีกหรือที่อยู่นอกเหนือความสามารถและอำนาจของพระองค์ ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินก็ตาม ?
       เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะต้องกลัวอะไรอีกเพราะเจ้านายของเราทรงมีอำนาจชนิดปราศจากข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น ?!
       สำหรับคริสตชน การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้ามีความสำคัญต่อเราอย่างยิ่งยวด
       1.    ทำให้เราได้รับพระจิตเจ้า ดังที่ทรงตรัสว่า ถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน  แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน (ยน 16:7)
              หากพระองค์ไม่เสด็จขึ้นสวรรค์ ร่างกายของพระองค์ก็ประทับอยู่เพียงที่เดียวในปาเลสไตน์เมื่อสองพันปีก่อน  แต่เมื่อเสด็จขึ้นสวรรค์ พระจิตของพระองค์สามารถประทับอยู่ทุกแห่งที่ มีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของพระองค์ (มธ 18:20) ตลอดไป
              ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงกล้าสัญญากับบรรดาอัครสาวกว่า จงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ (มธ 28:20)
              แปลว่าเรามีพระองค์ประทับอยู่เคียงข้างเราเสมอไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ก็ตาม
            นับจากนี้ไป เราไม่ต้องหวั่นกลัวอะไรอีกเพราะเรามีพระเยซูเจ้าผู้มีอำนาจเต็มทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน อยู่กับเราและช่วยเหลือเราตลอดไป ตราบจนสิ้นพิภพ.........
       2.    ทำให้เรามีความหวัง  ในเมื่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์แท้ยังเสด็จขึ้นสวรรค์ได้ เราย่อมหวังว่าจะขึ้นสวรรค์ได้เช่นเดียวกับพระองค์  ยิ่งพระองค์ตรัสว่า เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน (ยน 14:2) เรายิ่งมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า เมื่อกระโจมที่เราอาศัยอยู่ในโลกนี้ถูกเก็บไปแล้ว เรายังมีบ้านซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้สำหรับเรา เป็นบ้านที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นบ้านถาวรนิรันดรอยู่ในสวรรค์ (2 คร 5:1)
       3.    ทำให้เครื่องบูชาของเราเป็นที่พอพระทัย  เพราะพระเยซูเจ้าคือ มหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์ (ฮบ 4:14) และเสด็จล่วงหน้าเข้าไปถึงห้องภายในพระวิหาร (ฮบ 6:19-20) ซึ่งเป็นพระวิหารแท้โดยมีพระวิหารที่น้ำมือมนุษย์สร้างขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงภาพจำลอง (ฮบ 9:24)  นอกจากนี้พระองค์ ทรงถวายเครื่องบูชาชดเชยบาปเพียงครั้งเดียว แล้วจึงเสด็จเข้าประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าตลอดไป (ฮบ 1:3; 10:12; 12:2)
              การเสด็จขึ้นสวรรค์เข้าสู่ห้องภายในซึ่งมีแต่มหาสมณะเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าตลอดไปคือเครื่องพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยและยอมรับเครื่องบูชาลบล้างมลทินแห่งบาปที่พระองค์ทรงถวายบนไม้กางเขน และไม่จำเป็นต้อง ถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ฮบ 10:11)
       4.    ทำให้เรามีทนายแก้ต่าง ดังที่นักบุญยอห์นกล่าวว่า ถ้าใครทำบาป เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม (1 ยน 2:1)
              ที่สำคัญคือพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ ทรงประสบกับทุกสิ่งที่เราประสบไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และ ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป (ฮบ 4:15) ด้วยเหตุนี้พระองค์จึง ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อไถ่โทษชดเชยบาปของประชากร (ฮบ 2:17) และ บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้ทรงเป็นมหาสมณะตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค (ฮบ 5:9-10)
              การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้าจึงเป็นเครื่องยืนยันว่า พระเจ้าทรงเข้าใจมนุษย์อย่างถ่องแท้ เราจึง วอนขอพระหรรษทานได้ด้วยความมั่นใจ และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ (ฮบ 4:16)
              ในเมื่อพระองค์สามารถบันดาลความรอดพ้นนิรันดรให้แก่ทุกคนที่นอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ พระองค์จึงตรัสสั่งบรรดาอัครสาวกว่า ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา (มธ 28:19)
              นี่คือสุดยอดภารกิจที่ทรงมอบหมายแก่สาวกและเราทุกคน !
              ภารกิจนี้คือ ทำให้โลกเป็นศิษย์และนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์
              พระองค์ต้องการศิษย์มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือเกียรติยศของพระองค์เอง แต่เพื่อช่วยศิษย์ให้รอดและ มีชีวิตเหมือนพระองค์
              พระบิดาทรงส่งพระองค์มา และพระองค์ทรงส่งเราไป ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้เอง !
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน
คุณพ่อธีระ  กิจบำรุง
(บทความคัดลอกจากคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น